บทที่ 8 เงินลอยมาไม่ได้ต้องมีแหล่งที่มา
จางซื่อมองหน้าจ้าวอิงอิงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้าลงนางหันไปจูงมือเสี่ยวเป่าไปทางพ่อลู่ นางอยากรู้เช่นกันว่าลูกสะใภ้ของนางคนนี้ จะเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่
“ท่านก็พักเถอะเดี๋ยวค่อยเช็ดตัวให้สะอาด” จางซื่อหันไปบอกกับพ่อลู่
พ่อลู่เพียงส่งเสียงตอบรับในลำคอ จากนั้นก็ค่อย ๆ ยันตัวเองลุกขึ้น โดยมีจางซื่อและเสี่ยวเป่าช่วยประคองให้ยืนได้มั่นคง
“วันนี้ท่านหมอที่โรงหมอชุ่ยจู๋สอนข้าทำแผลมาด้วยเจ้าค่ะ เพราะอาการของท่านพ่อไม่สู้ดีนัก หลังกินมื้อค่ำเสร็จแล้วค่อยทำแผลให้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกแค่ได้ดื่มยาก็ดีขึ้นเอง” พ่อลู่ปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด
“แต่ข้าบอกอาการของท่านให้ท่านหมอฟัง ท่านหมอบอกว่าถ้าไม่ทำแผลดี ๆ อาจจะต้องตัดขาก็ได้นะท่านพ่อ”
“โอ้โหตัดขาออกแล้วท่านปู่จะเดินอย่างไรขอรับ” เสี่ยวเป่าถามด้วยความกลัวปนสงสัย
จางซื่อไม่พูดอะไรแต่หน้านางซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“หากท่านปู่ยอมให้แม่ใส่ยาก็ไม่ต้องตัดขาแล้ว” จ้าวอิงหันไปปลอบเสี่ยวเป่า
“ท่านพี่...” จางซื่อตาแดงก่ำน้ำตากำลังจะร่วงออกมาแล้ว
พ่อลู่หันมองซ้ายขวา สุดท้ายเขาจึงยอมแพ้“ก็ได้ ๆ ใส่ยาก็ได้ งั้นข้าจะไปอาบน้ำเสียก่อน”
พูดจบเขาก็เดินกะเผลกออกไปทางห้องอาบน้ำทันที จางซื่อเห็นแบบนั้นจึงให้เสี่ยวเป่าอยู่กับจ้าวอิง ส่วนนางเข้าครัวไปตักน้ำร้อนให้สามีนางอาบเสียก่อน
ในใจจ้าวอิงก็แอบคิดท้อใจอยู่บ้าง ว่าเหตุใดนางต้องมาพิสูจน์ตัวเองกับคนนอก ที่เดิมทีไม่มีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณต่างโลกอย่างนางเลย
แต่เอาเถอะสวรรค์ส่งนางมายังที่นี่และมอบสถานะนี้ให้ นางต้องทำให้ดี อีกอย่างที่นางรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากคือ ‘ครอบครัว’
ชาติที่แล้วนางเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ความอบอุ่นนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน พ่อแม่และน้องชายนางตายในอุบัติเหตุรถยนต์ สุดท้ายสมบัติของนางตกเป็นของอาที่เคยแสนดี
ส่วนตัวนางต้องไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สุดท้ายนางเติบโตและกลับไปแก้แค้นให้พ่อแม่และน้องชายสำเร็จ แต่ถึงแม้จะแก้แค้นไปแล้ว แต่ช่วงเวลาเลวร้ายของนางก็ยังอยู่กับนางเช่นเดิม พ่อแม่และน้องชายไม่ได้กลับมา จนวาระสุดท้ายก็ไม่ได้เห็นแม้แต่วิญญาณของคนทั้งสามเลย
คิดได้ดังนั้นนางจึงจูงมือเสี่ยวเป่า เดินไปนำเครื่องในพร้อมขี้เถ้าในเตา พากันไปที่ริมแม่น้ำ และเริ่มลงมือล้างทำความสะอาดทันที ล้างอยู่หลายรอบจนมั่นใจว่าสะอาดดีแล้วจึงกลับมาตั้งเตา ใส่เครื่องตุ๋นยาจีน รอน้ำเดือดอีกครั้งจึงใส่เครื่องในลงไป
ตอนนี้เองที่จางซื่อมารับตัวเสี่ยวเป่าไปอาบน้ำชำระร่างกาย ก่อนเข้าห้องครัวจางซื่อก็ได้กลิ่นหอมที่ลอยออกมาแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไร
จ้าวอิงยกหม้อต้มยาที่งวดดีแล้วออกไปพักด้านข้าง และใช้เตานั้นตั้งหม้อต้มข้าว เมื่อเห็นหม้อตุ๋นน้ำเดือด นางเพิ่มต้นหอม ขิง พริกไทย เกลือ เพิ่มรสชาติ ระหว่างตุ๋นเครื่องในนี้ นางทำไข่ตุ๋นเห็ดเพิ่มไปอีก โดยใช้ชั้นนึ่งวางบนหม้ออีกชั้น แล้วอาศัยไอน้ำจากน้ำที่เดือดของหม้อตุ๋น ให้ไข่สุกแล้วนิ่มเหมือนพุดดิ่ง นางทำให้เสี่ยวเป่ากินบำรุงโดยเฉพาะ
นางวางแผนโภชนาการของบ้านนี้ไว้เรียบร้อย แต่แผนการกับทางปฏิบัติค่อนข้างจะสวนทางกัน เพราะนางไม่สามารถหยิบเอาของใช้วัตถุดิบ ออกมาจากห้วงมิติตามใจชอบได้พรุ่งนี้นางต้องเข้าป่าเพื่อหาของป่า รวมถึงการเจอเห็ดหลินจือ ‘โดยบังเอิญ’ เพื่อนำมันมาให้พ่อลู่และจางซื่อเห็นว่าได้มันมาจากป่าจริง ๆ แล้วนางก็นำเห็ดหลินจือนี้ไปขายได้เงินมา เพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาเรื่องเงินที่จู่ ๆ นางก็มีเงินนับร้อยนับพันตำลึงโดยไม่ถูกสงสัยแล้ว
นางวางแผนให้ครอบครัวเพาะปลูกสมุนไพรเพื่อขาย น่าจะยั่งยืนกว่าปลูกข้าวหรือข้าวโพดหรือถั่วเหลืองเหมือนชาวบ้าน อีกอย่างที่ดินที่มีเพียงสองสามหมู่นี้ หากปลูกข้าวโพดหรือถั่วเหลืองผลผลิตที่ได้ไม่คุ้มทุน แต่การปลูกสมุนไพรจะต่างออกไป ไม่ต้องใช้บริเวณที่มาก แต่ผลผลิตมีมูลค่าสูงกว่า เมื่อครอบครัวนี้ดำรงชีพด้วยตัวเองได้
รอสามีในนามของนางกลับมาจะได้หย่าไปอย่างสบายใจ ในความเป็นจริงนางสามารถจากไปได้เลย เพราะนางเป็นวิญญาณจากต่างโลก ไม่มีความผูกพันใด ๆ กับครอบครัวนี้เลย แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกนางว่าต้องช่วยครอบครัวนี้ก่อน ซึ่งนางก็เชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองมาตลอด
ถึงเวลาอาหารเมื่อจ้าวอิงยกถ้วยแกงมาวางไว้กลางโต๊ะ คนทั้งโต๊ะนั่งมองอาหารด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ เพราะอาหารวันนี้เป็นเนื้อตุ๋น กลิ่นสมุนไพร กลิ่นเนื้อหอมฟุ้ง ถึงแม้จะดูเนื้อในถ้วยก็รู้ว่าเป็นเพียงเครื่องใน แต่สำหรับทุกคนที่ไม่ได้กินเนื้อและอาหารอิ่มท้องมานานแล้ว เพียงเครื่องในเท่านี้ก็ทำให้จุกอกพูดไม่ออกแล้ว ดวงตาของจางซื่อแดงเรื่อขึ้นมา นางมองหน้าจ้าวอิงแล้วพลันพูดไม่ออก
“นี่…”
ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตอบสนองเสี่ยวเป่าก็โพล่งออกมาก่อน
“หอมมากเลยท่านแม่นี่คืออะไรหรือ”
จ้าวอิงยิ้มแล้วบอกเขาว่า “นี่คือเครื่องในตุ๋นอร่อยมากนะ เสี่ยวเป่าลองชิมดู”
“เนื้อนี่คือเนื้อใช่ไหมขอรับ เมื่อก่อนมีแค่ท่านอาเล็กกับต้าหนิวเท่านั้นที่ได้กินเนื้อ” เสี่ยวเป่าผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวยังคงพูดต่อไปตามประสา
จางซื่อที่อดสะท้อนใจไม่ได้ก็น้ำตาไหลออกมาเสียแล้ว เมื่อมองไปยังพ่อลู่เขาเองก็ตาแดงก่ำเช่นกัน จ้าวอิงถอนหายใจอยู่ภายในใจเงียบ ๆ ครอบครัวนี้ยามอยู่บ้านใหญ่ก็เป็นเพียงแรงงานชั้นต่ำเท่านั้น
อุตส่าห์ได้แยกบ้านออกมาเป็นอิสระทั้งที ก็ออกมาอย่างยากลำบาก ถูกคนเอาเปรียบด้วยคำว่า ‘กตัญญู’ มาทั้งชีวิตโดยไม่รู้ตัว ได้รับส่วนแบ่งที่เป็นสมบัติที่เลวที่สุดก็ต้องกัดฟันรับเอาไว้ ความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่ลู่เหวินเหยาที่ติดตามอาจารย์ไปเล่าเรียน และตอนนี้เดินทางไปสอบถงเชิงเพื่อไต่เต้าต่อไป ยังโชคดีที่อาจารย์ท่านนั้นรักลู่เหวินเหยามาก ไม่เพียงไม่เก็บค่าเล่าเรียนยังสนับสนุนอุปกรณ์ทั้งหมดอีกด้วย ดังนั้นถึงแม้ที่บ้านจะยากลำบากเพียงใด ลู่เหวินเหยาก็สามารถเล่าเรียนได้ และเขายังฉลาดมาอีกด้วย
จ้าวอิงไม่ได้พูดถึงบ้านใหญ่อีก แต่หันไปหาเสี่ยวเป่าที่น้ำลายแทบจะหยดลงมาอยู่แล้ว
“เสี่ยวเป่าลองกินสิ แม้จะเป็นเพียงเครื่องในตุ๋น แต่ก็อร่อยมากทีเดียว แถมยังมีประโยชน์มากด้วย”
จ้าวอิงคีบส่วนไส้ที่ตุ๋นจนเปื่อยให้เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่าไม่รอช้ารีบคีบเข้าปากทันที
“อร่อย อร่อยมากเลยขอรับท่านแม่...เอ๊ะ ท่านย่าท่านเป็นอะไร”
เสี่ยวเป่าที่กำลังจะหันไปบอกย่าของเขาว่าให้รีบกิน ก็เห็นจางซื่อกำลังเช็ดน้ำตาอยู่พอดี จางซื่อเห็นดังนั้นจึงรีบปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วบอกว่า
“ย่าไม่เป็นอะไร น่าจะมีเศษฝุ่นเข้าตาน่ะ”
ตอนแรกสองปู่ย่าเพียงกินข้าวต้มอย่างเดียวไม่กล้ากินเครื่องใน เพราะเคยทดลองเมื่อนานมาแล้วมีแต่กลิ่นคาวชวนให้กลืนไม่ลงจริง ๆ จ้าวอิงเข้าใจได้นางจึงคีบปอดมากินก่อน ให้พวกเขาเห็นว่ามันกินได้จริง จ้าวอิงเป็นคนอ้วนท้วนใบหน้ากลมมน ตาจึงเล็กหยีเพราะเนื้อเยอะจนบดบังตากลม ๆ ของนาง ตอนที่กินช่างดูอร่อยยิ่งนัก แต่ไม่ดูตะกละตะกลามเหมือนแต่ก่อน
จางซื่อมองจ้าวอิงเพียงรู้สึกว่านางดูไม่เหมือนเดิมแต่ก็เหมือนเดิม ด้วยความที่เป็นคนชนบทไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใดจึงปัดความคิดนี้ออกอย่างรวดเร็ว ในที่สุดสองปู่ย่าก็มิอาจทนต่อกลิ่นอันหอมหวน และท่าทางการกินที่น่าอร่อยของสองแม่ลูกจ้าวอิงและเสี่ยวเป่าได้อีก จึงเริ่มคีบเนื้อตุ๋นกิน
เมื่อกินคำแรกเข้าไปแล้ว ก็ไม่สามารถหยุดได้อีกเลย รู้ตัวอีกทีแต่ละคนก็อดเก้อเขินไม่ได้ พวกเขากินจนพุงกลมป่องเลยทีเดียว จ้าวอิงพอใจกับมื้อนี้มาก ถือว่าเป็นมื้อกระชับมิตรที่ดีทีเดียว เพราะบรรยากาศในบ้านเริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้ว
หลังมื้ออาหารจบลงทุกคนยังไม่ลุกไปไหน จ้าวอิงล้างจานเสร็จแล้วจึงกลับมาที่โต๊ะตัวเก่า ๆ กลางห้องโถงเช่นเดิม เมื่อนั่งลงพ่อลู่จึงพูดขึ้น
“เรื่องซ่อมแซมบ้าน ข้าได้ปรึกษาท่านลุงรองหวังไว้แล้วล่ะ ลุงหวังเขาเป็นช่างไม้ปกติรับงานไม้เป็นประจำ หากเราไปคุยกับคนอื่นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราไม่เห็นแก่หน้า อีกอย่างลุงรองหวังก็ดีกับเราเสมอมา”
จ้าวอิงรู้สึกตื่นตระหนกในใจ นี่พ่อลู่เอาเรื่องนี้มาคุยกับนางหรือ นางรู้สึกดีจริง ๆ ยังไงเสียชาวบ้านชนบทธรรมดาก็เรียบง่ายอยู่แล้ว ดีมาก็สมควรดีกลับ เป็นหลักการที่เรียบง่ายแต่ใช้ได้จริง นางจึงยิ้มรับ
“เอาที่ท่านพ่อเห็นสมควรเลยเจ้าค่ะ เห็นว่าอย่างไรดีก็ตัดสินใจได้เลย”
“ได้ งั้นพรุ่งนี้พ่อจะเชิญท่านลุงรองหวังมาเริ่มงานเลย เสี่ยวเป่าของเราจะได้มีห้องนอนสบาย ๆ” พ่อลู่พูดยิ้ม ๆ เขามีความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว
ลุงรองหวังในที่นี้เป็นครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งสนิทสนมกับพ่อลู่เป็นอย่างดี จ้าวอิงเห็นดังนั้นจึงไม่ได้คุยเรื่องนี้อีก แต่บอกกล่าวถึงเรื่องที่นางจะขึ้นไปสำรวจเขาหลังบ้านเพื่อหาสมุนไพรที่พอจะนำมาขายได้
จางซื่อกังวลอยู่บ้างเพราะป่าฝั่งทางนี้ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาเท่าไหร่ เพราะทางลาดชันและช่วงตีนภูเขามีโขดหินอยู่มาก หากเข้าไปลึกเกินก็มี งูพิษ สัตว์ร้ายอื่น ๆ อีก
“มันดูอันตรายนะ รอพ่อเจ้าขาหายดีแล้วค่อยไปเถิด”
“ไม่เป็นไรเจ้าท่านแม่ ข้าแค่ไปดู ๆ ก่อนหากเข้าไปยากก็จะกลับออกมาไม่ฝืนเด็ดขาด”
“ก็ได้” เช่นนี้จางซื่อถึงได้ยอมให้นางขึ้นไปลำพัง
จ้าวอิงลุกไปหยิบห่อยาและชุดทำแผลที่เตรียมไว้เพื่อมาจัดการแผลภายนอกให้แก่พ่อลู่
“ท่านพ่อยื่นขาออกมาตรงนี้เจ้าค่ะ ข้าทำแผลให้ท่านก่อน รับรองว่าพรุ่งนี้ท่านตื่นขึ้นมาจะไม่ปวดอีก”