บทที่ 7 ต้องขุนให้อ้วนสักหน่อย
ระหว่างที่รอนี้จ้าวอิงจึงเดินดูไปรอบ ๆ ห้องโถง ‘อืม...ช่างดูเรียบง่าย โปร่งโล่ง อากาศถ่ายเทดี จัดยาเป็นระเบียบ ไม่มีฝุ่นสักนิด ไม่ปกติสำหรับหมอบ้านนอกเท่าไหร่’
หากคาดไม่ผิดเถ้าแก่ฟางผู้นี้ไม่น่าจะเป็นสามัญชนธรรมดาน่าจะเป็นคุณชายตระกูลใหญ่มีเหตุให้ต้องระเห็จมาอยู่พื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ ‘ดูเหมือนนางจะจินตนาการตามนิยายมากเกินไปแล้ว’
แต่จ้าวอิงหารู้ไม่ว่าที่นางคาดเดาค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงเลยทีเดียว...
“ได้แล้ว ๆ เก๋ากี้, ตังกุย, ฮ่วยซัว, ชวงเกียง, เง็กเต็ก, ชะเอม, อึ่งคี้, ตังเซียม อย่างละสองเฉียน เฉียนละห้าสิบอีแปะ รวมแล้วเป็นเก้าร้อยอีแปะ ส่วนเทียบยานี้สำหรับห้าวันเป็นห้าตำลึงเงิน ในอนาคตแม่นางจ้าวมาเป็นคู่ค้ากับโรงหมอชุ่ยจู๋ของเราอีก จึงคิดเพียงห้าตำลึงเท่านั้นที่เหลือถือเป็นน้ำใจที่ท่านนำโสมเห็ดหลินจือชั้นดีมาให้พวกเรา”
ยังคงเป็นผู้ดูแลหลิวที่มาคิดเงินและส่งสมุนไพรให้นาง วันนี้ขายสมุนไพรที่ไม่ต้องลงแรงไปเสาะหา ได้เงินมาถึงหนึ่งพันสองร้อยตำลึงเงิน แถมยังได้ส่วนลดจากการซื้อยาของพ่อลู่เพิ่มแบบนี้ จ้าวอิงยินดีรับน้ำใจนี้ไว้
“ข้าขอไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ หากมีสมุนไพรอีกจะนำมาขายที่โรงหมอแห่งนี้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจไปพวกเราล้วนได้ประโยชน์มิใช่หรือ”
“งั้นขอลาก่อนแล้วเจ้าค่ะผู้ดูแลหลิว”
หลังจากรับสมุนไพรแล้ว จ้าวอิงก็นำมันใส่ไว้ในตะกร้าที่แบกมา แล้วเดินออกไปยังตลาดที่อยู่อีกไม่กี่ตรอกถัดไป นางต้องการวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสสำหรับทำอาหาร ผ้าสำหรับตัดชุดใหม่ให้คนทั้งบ้าน ไหนจะผ้าปูที่นอนและผ้าม่านอีก ยกเว้นของนางเอง ต้องรอให้ผอมกว่านี้แล้วกัน ค่อยซื้อหายังไม่สายเกินไป
นางเดินซื้อเครื่องปรุงรสจากสองสามร้านที่ขายคล้าย ๆ กัน ที่น่าสนใจมากสำหรับนาง คือยุคนี้มีซอสเค็มหรือซีอิ๊วร่วมถึงเต้าเจี้ยว สุราเปรี้ยวหรือก็คือน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวนั่นเอง นางซื้อมาอย่างละเล็กน้อยเพราะไม่มีภาชนะบรรจุ ที่ร้านมีเพียงไหและกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ เท่านั้น และยังซื้อน้ำตาลข้าวสาร แป้งข้าวสาลีมาอีกด้วย
เมื่อเดินออกจากร้านขายเครื่องปรุง
นางตรงไปยังเขียงหมูเป็นสถานที่ต่อไป ราคาของเนื้อสัตว์ในยุคนี้กระดูกและเครื่องในแทบไม่มีราคา เพราะไม่เป็นที่นิยม การจะทำออกมาเป็นอาหารนั้นก็ยาก ทั้งการทำความสะอาดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้หมดไปนั้นยากยิ่ง ผู้คนที่สามารถซื้อเนื้อได้ หรือเก็บเงินเพื่อซื้อเนื้อสักครั้งก็จะเลือกเอาส่วนที่เป็นเนื้อแดงหรือติดมันแทน เพราะอร่อยและทำง่ายกว่ามาก
จ้าวอิงซื้อกระดูกมาทำซุป รับเอาเครื่องในทั้งหมดมาและซื้อเนื้อหมูสามชั้นที่มีชั้นไขมันมาด้วยหลายชั่ง คนที่ขายเนื้อหมูเห็นนางเอากระดูกและเครื่องในทั้งหมดก็ดีใจมาก เพราะวันนี้เขาไม่ต้องทิ้งกระดูกและเครื่องในหรือแถมให้ผู้ซื้อไป
“ฮูหยินท่านนี้ข้าแถมกระดูกนี้ให้ท่านแล้วกัน คิดเพียงเนื้อหมูและเครื่องในก็พอแล้ว วันหลังท่านมาอีกข้าก็จะแถมให้อีก”
“ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ ข้าไม่เกรงใจแล้วนะ ไว้ครั้งหน้ามาอีกข้าจะมาซื้อเนื้อที่เขียงของท่านอีก”
“ฮ่า ๆ ๆ ได้เลย ๆ” คนขายเนื้อหัวเราะร่าดูอารมณ์ดียิ่งนัก
จ้าวอิงซื้อเนื้อกระดูกและเครื่องใน ไปมากมายขนาดนี้ก็เพื่อนำไปบำรุงร่างกายอีกสามคนที่บ้านนางตอนนี้นั่นเอง พวกเขาแทบไม่มีเนื้อหนัง ผิวเหลืองซีดขาดสารอาหารอย่างรุนแรง จะมีอะไรที่บำรุงเนื้อหนังคนเหล่าได้ดีกว่าเนื้ออีกเล่า นางต้องการจะขุนให้คนในบ้านอ้วนท้วนสักหน่อยจะได้ดูเจริญหูเจริญตากว่านี้
ระหว่างทางเดินผ่านตรอกเพื่อไปยังร้านอื่น ๆ จ้าวอิงหาที่ที่ไม่มีคน โยนเนื้อและเครื่องปรุงของหนัก ๆ ทั้งหลายเข้าไปในห้วงมิติรวมถึงเงินถุงนั้นด้วย และที่สุดท้ายที่นางเดินไปคือร้านขายผ้าที่มีอยู่สองสามแห่ง
นางเลือกสุ่มเข้าไปที่ร้านตรงกลาง แต่นางซื้อไม่ได้มากนักเพราะนางเลือกไม่เป็น เมื่อต้องการจะสอบถามคนงานที่ดูแล แต่เขาคงรังเกียจที่นางดูยากจน ตอบนางแบบขอไปที เมื่อมีลูกค้าเข้ามาใหม่เขาก็ทิ้งนางไว้แล้วไปต้อนรับคนอื่นทันที
จ้าวอิงเพียงคิดว่าไหน ๆ ก็เข้ามาแล้วจึงได้ซื้อเพียงผ้าฝ้ายมาสองพับเท่านั้น ไว้นางค่อยให้แม่สามีนางเป็นผู้เลือกจะดีกว่า หรือครั้งหน้าค่อยไปร้านอื่นก็แล้วกัน เพราะเวลาล่วงเลยมานานแล้วหากนางยังไปร้านอื่นอีกคงกลับถึงบ้านมืดค่ำเสียก่อน
ก่อนจะเดินกลับหมู่บ้านลู่ออกจากตำบลนางก็หาซอกที่ลับตาคนโยนของเข้าห้วงมิติ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้งเพื่อเรียกกำลัง แล้วออกก้าวเดินไปตามเส้นทางเดิมที่ออกมาตอนเช้าอีกครั้ง
ระหว่างเส้นทางกลับหมู่บ้านนั้น นางเจอเกวียนวัวของลู่เกิงที่กำลังกลับเข้าหมู่บ้านเช่นกัน เมื่อคนบนเกวียนเห็นจ้าวอิงต่างมองอย่างไม่เชื่ออยู่บ้าง
‘หญิงอ้วนนางนี้ ออกมาเดินเองได้ด้วยหรือ ช่างน่าแปลกเกินไปแล้ว’
นอกจากหลาย ๆ คนที่ไม่ชอบหน้าจ้าวอิงอิงแล้ว บนเกวียนนี้ยังมีป้าสะใภ้สามอยู่บนเกวียนด้วย เมื่อนางเห็นจ้าวอิงจึงตะโกนถามจ้าวอิงขึ้น
“ภรรยาเหวินเหยาเจ้าไปตำบลมาหรือ” ป้าสะใภ้สามถาม
จ้าวอิงเห็นป้าสะใภ้สาม ก็จำได้ว่าป้าสะใภ้สามคนนี้รักเอ็นดูลู่เหวินเหยาและเสี่ยวเป่าอย่างมาก ป้าสะใภ้สามคนนี้เป็นภรรยาของลู่เกาจวิ้นลูกชายคนที่สามของปู่ใหญ่ลู่เจิ้น บ้านต้นตระกูลของพ่อลู่ พวกนางจึงได้เรียกขานนางว่าป้าสะใภ้สามหรือป้าสาม ป้าสะใภ้สามเองถึงจะไม่พอใจจ้าวอิงอิงนัก แต่นางก็ไม่เคยกล่าวหาว่าร้ายนางสักครั้ง จ้าวอิงจึงรู้สึกดีกับป้าสะใภ้คนนี้มาก
“ใช่เจ้าค่ะป้าสะใภ้สามข้าเข้าไปซื้อยาให้ท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวอิงตอบ
“โอ้ ลู่เกิงหยุดก่อน ๆ ให้อาอิงขึ้นมาด้วยกันข้าออกค่านั่งของนางให้เอง” ป้าสะใภ้สามรีบตบข้าง ๆ เกวียนแล้วตะโกนบอกให้หยุดเกวียน
จ้าวอิงตกใจหันไปมองป้าสะใภ้สามพร้อมกล่าว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อีกไม่ไกลแล้วข้าเดินได้”
ป้าสะใภ้สามยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงหญิงที่นั่งมาในเกวียนกับนางดังขึ้นมาเสียก่อน
“เฮอะ! ใครอยากให้เจ้าขึ้นมา อ้วนขนาดนี้เกวียนวิ่งไม่ไหวพอดี”
จ้าวอิงหันไปมองคนพูดพบว่าคนที่พูดคือหลานซื่อ ภรรยาลู่เกาเจ้าของเกวียนวัวคันนี้นั่นเอง
จ้าวอิงไม่ตอบโต้ ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงมองป้าสะใภ้สามแล้วพยักหน้าขอบคุณนาง จากนั้นก็แบกตะกร้าแล้วออกเดินออกไปตามทางโดยไม่หันไปมองเกวียนอีก
ป้าสะใภ้สามเห็นดังนั้นก็ไม่ดึงดันอีก ส่วนเกวียนก็ออกเดินต่อจนแซงหน้าจ้าวอิงเข้าหมู่บ้านไป บนเกวียนป้าฮวาที่ยังจับจ้องจ้าวอิงที่กำลังเดินตามหลังมา พร้อมพูดขึ้นมา
“จ้าวอิงอิงนางแปลกไปหรือไม่ ถ้าเป็นทุกครั้งเจ้าต้องโดนนางด่ากราดแล้วแน่นอน วันนี้นางเงียบผิดปกติแถมยังเดินไปซื้อยาให้พ่อสามีนางอีกด้วย สวรรค์หรือว่าข้าฟังผิดไป”
หลานซื่อที่ได้ฟังป้าฮวาพูดเช่นนั้นนางก็เบ้ปากอย่างแรง “ไม่มีทางที่นางอ้วนนั่นจะเปลี่ยนไป คงเห็นลู่เหวินเหยาไปสอบแล้วคงคาดหวังจะได้เป็นฮูหยินขุนนางกระมัง”
“ใช่ ๆ อาจจะเพราะนางเดินจนหมดแรงแล้วก็ได้ ถึงได้ไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว ฮ่า ๆ ๆ” ป้าอีกคนที่นั่งข้าง ๆ ก็กล่าวสมทบ
ป้าสะใภ้สามก็ได้แต่ฟังคนบนเกวียนนินทาจ้าวอิง แต่ถึงนางจะไม่ได้พูดปกป้องจ้าวอิง นางก็ไม่ได้ร่วมผสมโรงด้วย นางเพียงนั่งเงียบ ๆ คิดบางอย่างในใจ
ทางด้านจ้าวอิงนางได้ยินเสียงแว่วมาไกล ๆ นางมีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมนางจึงจับใจความสำคัญที่ถูกนินทาเหล่านั้นได้ แต่ถึงได้ยินต่อหน้านางก็หาได้เอามาใส่ใจ
จ้าวอิงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก กว่าที่นางจะกลับถึงบ้านก็ถึงเวลาต้องเตรียมอาหารเย็นแล้ว และตัวนางเองก็หิวมากเช่นกัน วันนี้ได้กินเพียงมื้อเช้าเท่านั้น เพราะกลัวจะกลับบ้านมืดค่ำจึงไม่ได้แวะหาอะไรกินที่ตลาด ทำได้เพียงหยิบเอาองุ่นออกมาจากห้วงมิติกินรองท้องระหว่างเดินกลับเท่านั้น
เมื่อเดินเข้ารั้วบ้านมาแล้วจ้าวอิงไม่เห็นใครเลย คิดว่าพวกเขาคงจะยังอยู่ที่หลังบ้าน เห็นทางสะดวกเช่นนี้นางจึงรีบเดินเข้าห้องครัวแล้วหยิบทุกอย่างออกมาจากห้วงมิติ จัดทุกสิ่งให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงตั้งเตาต้มน้ำหม้อใหญ่ ๆ สำหรับอาบ อีกเตาตั้งหม้อต้มยาสำหรับพ่อลู่ไว้ แล้วเดินไปทางหลังบ้าน
และก็เป็นอย่างที่นางคิดทั้งสามคนปู่ ย่า หลาน กำลังช่วยกันถอนหญ้าในแปลงปลูกกันอยู่ และน่าจะอยู่ตรงนี้กันมาพักใหญ่แล้ว มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นมีกาน้ำสำหรับดื่มอยู่เลย
จ้าวอิงชะงักฝีเท้าไม่เดินเข้าไปหาพวกเขา แต่หันหลังไปตักน้ำร้อนที่ต้มไว้ จากนั้นเติมน้ำตาลลงไป คนให้น้ำตาลละลายดี แล้วยกมาให้ทั้งสามคนที่หลังบ้าน
“ท่านพ่อท่านแม่ดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะ เสี่ยวเป่ามากินน้ำสิ” จ้าวอิงเรียกทุกคน
เสี่ยวเป่าเมื่อได้ยินเสียงของจ้าวอิงเขาก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากมือแล้ววิ่งเข้ามาหานางทันที “ท่านแม่กลับมาแล้ว ท่านไปนานมากเลย”
“เสี่ยวเป่าส่งน้ำให้ท่านปู่ท่านย่าก่อนเด็กดี” จ้าวอิงยกกาน้ำที่ยังร้อนอยู่ขึ้นสูงเพราะกลัวเขาจะชนมันเข้า จากนั้นก็ปล่อยมือออกหนึ่งข้างจูงมือเสี่ยวเป่า พร้อมเดินไปส่งน้ำหวานให้พ่อลู่และจางซื่อ
“ขอบใจ เป็นอย่างไรบ้าง” จางซื่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยออกจะเย็นชาด้วยซ้ำ
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ข้าซื้อยาตามเทียบยาของท่านพ่อมาเพิ่มสำหรับห้าวัน รวมทั้งซื้อข้าวและแป้งมาเพิ่มด้วยเจ้าค่ะ มีขนมของเสี่ยวเป่าด้วยนะ” จ้าวอิงยิ้มตอบ
“ท่านแม่ดีที่สุดเลย” เสี่ยวเป่าดีใจจนกระโดดโหยง ๆ รอบตัวนางเรียกรอยยิ้มในทันใด
“ไปเถอะ ย่าจะไปทำกับข้าว” จางซื่อลุกขึ้น
จ้าวอิงรีบขัดไว้เพราะวันนี้นางจะทำอาหารยาให้ทุกคนบำรุงร่างกาย
“ท่านแม่ท่านทำงานเหนื่อยทั้งวันแล้ว ข้าจะเป็นคนทำอาหารเอง รบกวนท่านพาเสี่ยวเป่าไปอาบน้ำที ข้าต้มน้ำสำหรับอาบไว้แล้วเจ้าค่ะ” จ้าวอิงบอก