บทที่ 6 เข้าตำบลครั้งแรก
แต่เมื่อเดือนกว่า ๆ มานี้ แม่ของจ้าวอิงอิงเสียชีวิตไปเพราะโรคเก่าเรื้อรังมานาน นี่จึงเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่จ้าวอิงอิงมี
“นี่เป็นเงินที่ข้ามีทั้งหมดเจ้าค่ะ ท่านทั้งสองโปรดรับไว้แล้วจัดการตามสมควรได้เลย”
“นี่ …”
พ่อลู่กำลังจะปฏิเสธ ทั้งสองทำท่าจะผลักเงินคืนมา จ้าวอิงไหนเลยจะรับคืน ยืนกรานให้พ่อลู่และจางซื่อรับไว้ให้ได้ ตอนที่ดึงดันกันอยู่นี้สุดท้ายจ้าวอิงจึงนำเสี่ยวเป่ามาเป็นข้ออ้าง
“ข้าสงสารเสี่ยวเป่าเจ้าค่ะ อยากให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นเสียที เงินทั้งหมดนี้ถือว่าข้าผู้เป็นมารดาทำเพื่อลูกชายเถิดเจ้าค่ะ อีกอย่างหากท่านพี่รู้ว่าพวกเรามาอยู่ที่นี่อย่างยากลำบาก เขาจะมีกำลังใจเข้าสอบหรือเจ้าคะ”
จ้าวอิงพูดยาวเหยียดออกมาในลมหายใจเดียว และยังพูดต่อ
“เงินหมดไปก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าสุขภาพของพวกเราไม่ดีคงไปหาเงินไม่ได้ ดังนั้นพวกท่านได้โปรดรับไปเถิดเจ้าค่ะ”
ลู่ซานถิงและจางซื่อหันหน้ามามองกัน สุดท้ายพวกเขาจึงรับเงินไว้แต่โดยดี จากนั้นพวกเขาคุยกันเรื่องซ่อมแซมเรือนอีกเล็กน้อย จ้าวอิงจึงยกเรื่องซ่อมแซมให้สองสามีภรรยาลู่จัดการ เพราะหากเป็นนางไปพูดคุยกับชาวบ้าน มีหวังได้ทะเลาะกันเท่านั้น จ้าวอิงอิงนางมีศัตรูรอบตัวจริง ๆ เหอะ ๆ ...
หลังจากที่กินข้าวเรียบร้อย จ้าวอิงได้กำชับให้พ่อลู่อยู่นิ่ง ๆ เพื่อรักษาขา และยังบอกให้เสี่ยวเป่ากินขนมและผลไม้ตอนเที่ยงได้ เพราะคนที่นี่ไม่กินมื้อเที่ยงซึ่งไม่ดีต่อการเติบโตเลย ทำทั้งหมดนี้แล้วจ้าวอิงจึงออกเดินทางไปที่ตำบลเพื่อหาซื้อของใช้ เสี่ยวเป่าอยากไปกับนางด้วยแต่นางไม่ได้พาเสี่ยวเป่าน้อยไปด้วย เพราะต้องแบกของใช้มากมายเกรงจะแบกไม่ไหว หากนางไปคนเดียวสามารถนำของเก็บในห้วงมิติทุ่นแรงได้
ระยะทางเดินจากหมู่บ้านลู่ไปยังตำบลประมาณสามสิบลี้ได้ เดินทางไปกลับใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม ไม่รวมเวลาเดินหาซื้อของ หากเผลอเรออาจจะถึงบ้านมืดค่ำได้ ดังนั้นนางจึงต้องเร่งฝีเท้า
เส้นทางออกไปจากหมู่บ้าน เป็นเส้นทางดินเดินเลียบตามชายป่า มีฝั่งหนึ่งเป็นทุ่งนาอีกฝั่งเป็นชายป่า บ้างเป็นลำน้ำผ่าน โชคดีอากาศใกล้เข้าหน้าฝนจึงไม่ร้อนมาก แต่ความชื้นในอากาศมีมาก ก็ทำให้เหงื่อออกมากเช่นกัน
‘ร่างอ้วน ๆ นี้ไม่ไหวจริง ๆ เดินได้ไม่นานก็แทบก้าวต่อไม่ไหวแล้ว’
จริง ๆ นางสามารถนั่งเกวียนวัวรับจ้างได้ เพราะที่หมู่บ้านมีเกวียนรับจ้างส่งคนเข้าออกหมู่บ้านอยู่เหมือนกัน นั่งครั้งละไม่กี่อีแปะเท่านั้น แต่นางไม่ถูกกับชาวบ้านหลายคน แถมยังเคยทะเลาะกับหลานซื่อและลู่เกิงเจ้าของเกวียนอีกด้วย ดังนั้นนางจึงไม่เป็นที่ต้อนรับหากจะไปขอนั่งเกวียนด้วย
นี่ยิ่งตอกย้ำให้นางต้องรีบลดความอ้วน ออกกำลังกายให้ร่างกายนี้แข็งแรงเหมือนร่างเดิมของนางให้ได้ จ้าวอิงจึงกัดฟันเดินต่อไป ใช้เวลาเกือบชั่วยามนางก็เดินมาถึงซุ้มทางเข้าเขตตำบลที่มีป้ายไม้ใหญ่ ๆ เขียนว่า
‘ตำบลเหลียงสี’
จ้าวอิงไม่ได้เข้าไปทันทีแต่นางนั่งพักใต้ร่มไม้ให้ตัวแห้งก่อน เพราะลักษณะรูปร่างนางอ้วนและเหงื่อท่วมตัวเช่นนี้ นางคงไม่เป็นที่ต้อนรับของร้านยาแน่นอนแถมอาจจะโดนกดราคาอีกด้วยโชคดีที่มีลมพัดมาตลอดไม่นานตัวนางก็แห้ง เมื่อเดินเข้าเขตตำบลเห็นถนนสายตรงตัดกลาง ขนาดกว้างประมาณรถม้าสองคันสวนกันได้แบบช้า ๆ ร้านค้ามีทั้งแบบอาคารชั้นเดียว บางที่เป็นอาคารสองชั้นแต่ก็ไม่มีสูงมากกว่านั้น
เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้าสองข้างทาง มีร้านค้าประมาณสิบห้าถึงยี่สิบร้าน ไม่รวมแผงลอยที่ชาวบ้านที่มาขายของป่า ปูผ้าวางกับพื้นริมถนน ถือว่าค่อนข้างเจริญเลยทีเดียว นางเดินมาเรื่อย ๆ จึงเห็นโรงหมอขนาดสองชั้นดูสะอาดตา มีผู้ดูแลเคราแพะนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน และมีหมอกำลังตรวจโรคอยู่ เมื่อเห็นหมอคนนี้นางเลิกคิ้วอย่างสนใจ
คนผู้นี้รูปร่างผอมบางแต่ดูแข็งแรง ผิวขาวและยังดูอายุไม่เกินสามสิบห้าถึงสี่ปี แต่ไว้หนวดเคราเต็มหน้าทำให้ดูแก่กว่าอายุจริง ท่าทางการตรวจและพูดคุยกับคนไข้ ดูก็รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง บุคลิกเช่นนี้ไม่น่ามาอยู่ในโรงหมอเล็ก ๆ ในตำบลที่ดูก็รู้ว่าไม่น่าใช่เมืองใหญ่เช่นนี้ได้ จ้าวอิงไม่ได้เข้าไปโรงหมอแห่งนี้ในทันที นางเดินไปอีกฝั่งของตลาดเพื่อดูว่าที่นี่มีกี่โรงหมอ ที่ไหนน่าจะเหมาะสมมากที่สุด
อีกฝั่งของตลาดมีโรงหมออีกทีเช่นกัน ที่นี่ใหญ่โตกว่าโรงหมอแห่งแรกประมาณสองเท่า มีชายแก่เครายาวแต่งตัวสะอาดสะอ้านดีนั่งอยู่ด้านหน้า มีคนงานกำลังกวาดใบไม้ด้านหน้า ยังไม่มีคนไข้หรือคนที่เข้ามาซื้อสมุนไพร
แต่แล้วก็มีหญิงที่แต่งงานแล้ว แต่งตัวด้วยชุดที่ดูมีราคาน่าจะเป็นฮูหยินของครอบครัวที่มีอันจะกินเข้ามา จ้าวอิงไม่ได้เข้าไปใกล้นัก นางมองห่าง ๆ แต่ไม่ได้จับจ้องอยู่จุดเดียว จู่ ๆ มีหญิงสองนางเดินผ่านหน้านาง พร้อมกับนินทาหญิงคนนั้นที่เพิ่งจะเดินเข้าโรงหมอข้างหน้าไป
“นั่นฮูหยินจางนี่นา ข้าได้ยินข่าวว่าสามีนางไม่ได้ออกไปค้าขายหลายวัน แถมยังป่วยอีก เงินทองก็ใกล้จะหมดแล้ว เหตุใดนางไม่ไปที่โรงหมอชุ่ยจู๋นะ ที่นั่นท่านหมอไม่ได้หน้าเลือดเช่นที่นี่”
“ชู่ว ...เจ้าอย่าพูดเสียงดัง คนอวดดีแบบนางกลัวเสียหน้าต่างหากล่ะ”
แล้วเสียงของสตรีทั้งสองก็ออกห่างและเบาลงไป เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวอิงจึงตัดสินใจ หันหลังกลับไปที่โรงหมอแห่งแรกที่นางเห็นเมื่อครู่
ผู้ดูแลเห็นหญิงอ้วนที่เมื่อครู่ เขาเห็นนางยืนพินิจท่านหมออยู่หน้าโรงหมอเดินกลับมาอีกครั้ง เขาจึงเดินมาหานางและสอบถามความต้องการ
“แม่นางไม่ทราบว่าต้องการพบท่านหมอหรือ” ผู้ดูแลเคราแพะถามนางด้วยท่าทางที่เป็นกันเอง
“ข้ามิได้มาตรวจโรคเจ้าค่ะ แต่มาซื้อและขายสมุนไพร ขอสอบถามท่านรับซื้อสมุนไพรหรือไม่”
ผู้ดูแลเคราแพะมองจ้าวอิงเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มตอบอย่างมีมารยาท “รับซื้อขอรับไม่ทราบว่าแม่นางต้องการขายสมุนไพรอันใดหรือ”
“ข้ามีโสมตากแห้งอย่างดีอยากให้ท่านช่วยดูให้หน่อย”
“เชิญที่โต๊ะข้าก่อน”
ผู้ดูแลเดินนำทางนางไปยังโต๊ะตัวสูงคล้ายเคาน์เตอร์แคชเชียร์ในปัจจุบัน จ้าวอิงเดินตามเขาไป หลังจากมองสำรวจและสูดดมกลิ่นสมุนไพรแล้ว นางได้กลิ่นโสมจาง ๆ เห็ดหลินจือ เหง็กเต็ก ตังกุ้ย ค่อนข้างจะพอดีกับยาแผนจีนที่นางมีเก็บไว้ทีเดียว
จ้าวอิงหยิบโสมห้าสิบปีที่อบแห้งไว้ออกมาสองต้น และเห็ดหลินจือแห้งดอกขนาดเท่าฝ่ามือออกมาสองดอกเช่นกัน นางเลือกที่อายุน้อยสุดคือห้าสิบปีและขนาดเล็กสุดออกมา นางไม่อยากโดนคนปองร้าย และคิดว่าเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ของคุณภาพระดับเยี่ยมยอดไม่น่ามีให้เห็นบ่อยเท่าไหร่นัก จึงต้องนำที่คุณภาพแย่ที่สุดที่นางมีออกมาและอีกอย่างนางไว้ใจคนเหล่านี้ไม่ได้
เมื่อผู้ดูแลเคราแพะได้เห็นโสมและเห็ดหลินจือที่หญิงอ้วนผู้นี้นำมาวางก็ตาโต แล้วรีบหยิบขึ้นมาตรวจสอบทันที
“ไม่เลว ๆ โสมอายุห้าสิบปีตากแห้งมาอย่างดี ไม่ทำให้เสียคุณค่าสักนิด รากไม่มีขาดหาย เห็ดหลินจือนี่ห้าสิบปีเช่นกัน สมบูรณ์ดียิ่งนัก ท่านรอสักครู่ข้าจะไปตามเถ้าแก่”
ว่าแล้วเขาก็เดินไปห้องตรวจโรค ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมหมอหนุ่ม ที่นางเห็นตอนที่เดินเข้ามาในโรงหมอแห่งนี้ จ้าวอิงเลิกคิ้วมองอย่างสนใจ ‘ไม่เลวเลยอายุเท่านี้เปิดกิจการเองแล้ว’
แต่ก็ยังมีบางอย่างแปลกอยู่ ซึ่งนางก็ปัดตกอย่างรวดเร็ว นางแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่นักวิทย์ฯ คนเดิมเสียหน่อย ไม่ต้องระแวดระวังขนาดนั้นก็ได้
เมื่อเถ้าแก่โรงหมอเดินมา เขาก็มองสำรวจนางไปด้วย แต่ก็ไม่มองจนเสียมารยาท หลังจากนั้นจึงตรวจสอบโสมและเห็ดหลินจือ ไม่นานก็วางลงและกล่าว
“แม่นางข้าให้ท่านชิ้นละสามร้อยตำลึงเงิน รวมทั้งหมดเป็นหนึ่งพันสองร้อยตำลึงเงิน ราคานี้ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
ตามจริงจ้าวอิงคิดไว้แล้วว่า ราคาที่ขายออกน่าจะมากกว่านี้อีกเล็กน้อย แต่การค้าต้องมีกำไร ซึ่งก็ถือว่าเหมาะสมแล้วไม่กดราคาจนมากเกินไป และนางยังอยากค้าขายต่อกับโรงหมอแห่งนี้ต่อไปด้วย นางจึงพยักหน้าตอบรับ
“ได้เจ้าค่ะเอาตามที่ท่านว่า ข้ายังมีความต้องการซื้อสมุนไพรบางชนิดด้วย” แล้วนางก็หยิบเทียบยาของพ่อลู่ออกมาแล้วให้จัดชุดยา
“รบกวนจัดยาตามเทียบนี้ให้สักห้าชุด และเก๋ากี้, ตังกุย, ฮ่วยซัว, ชวงเกียง, เง็กเต็ก, ชะเอม, อึ่งคี้, ตังเซียม เอาอย่างละไม่มาก เท่ากำมือก็พอ รบกวนท่านชั่งมาเท่า ๆ กันก็พอเจ้าค่ะ”
ชายสองคนในโรงหมอตกใจแล้วจริง ๆ แม่นางท่านนี้เรียกชื่อสมุนไพรได้คล่องแคล่ว ดูคุ้นเคยกับสมุนไพรเป็นอย่างดี อีกอย่างนางก็ดูไม่ได้ตกใจกับจำนวนเงินที่เขาบอกเลยสักนิด หากเป็นชาวบ้านทั่วไปคงตกใจจนลนลานแล้ว จึงอดถามไม่ได้
“ขอถามแม่นางว่าจะเอาไปทำสิ่งใดหรือมีใบสั่งยาหรือไม่”
จ้าวอิงเข้าใจได้ว่าสมุนไพรเหล่านี้มีสรรพคุณทั้งบำรุงเลือด บำรุงช่องท้องกระเพาะลำไส้ แต่ก็อดที่จะมองผู้ดูแลให้มากขึ้นอีกนิดไม่ได้ เขาช่างรอบคอบเสียจริง
“ข้าขอบอกตามตรงว่าตัวข้าเองพอรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง และยังมีสมุนไพรที่ยังเก็บไว้อีก ภายภาคหน้าจะนำมาขายให้โรงหมออีก แต่เก้ารายการที่บอกไปนั้นไม่ขอปิดบัง ข้าจะนำไปทำอาหารเจ้าค่ะ พวกมันเป็นเครื่องตุ๋นบำรุงร่างกาย ให้กับคนในครอบครัวข้าเอง”
จ้าวอิงบอกออกไปครั้งเดียวรวมสามเรื่องด้วยกันคือ หนึ่งนางมีความรู้เรื่องสมุนไพร สองนางต้องการร่วมมือค้าขายกับโรงหมอ และสามนางมีความสามารถทำอาหารเป็นยาได้ เถ้าแก่และผู้ดูแลเป็นคนฉลาด เพียงฟังก็เข้าใจได้ทันทีเถ้าแก่จึงเอ่ยว่า
“ข้ามีนามว่าฟางหร่ง ส่วนท่านนี้คือผู้ดูแลหลิว หากต่อไปท่านมาโรงหมออีกติดต่อผู้แลหลิวได้เลย”
“เถ้าแก่ฟาง ท่านหลิว ข้าจ้าวอิงสามีข้าแซ่ลู่อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลลู่เจ้าค่ะ”
“จ้าวอิงไม่ต้องเกรงใจ ท่านรอสักครู่ข้าจัดยาที่ท่านต้องการให้ก่อน” ผู้ดูแลหลิวกล่าวแล้วก็หันหลังไปจัดการยา
เถ้าแก่ฟางเดินกลับไปที่ห้องตรวจโรคแล้วเช่นกัน เพราะเขาทิ้งคนไข้ที่อาการไม่หนักรออยู่ “ข้าขอเสียมารยาทเพราะทิ้งคนไข้ไว้ต้องขอตัวก่อนเชิญฮูหยินลู่ตามสบาย”
“มิต้องเกรงใจข้าเจ้าค่ะ เชิญเถ้าแก่จัดการธุระของท่านเถิด”