บทที่ 4 ไว้จะทำบุญไปให้
ทางด้านสองสามีแซ่ลู่ เดิมทีก็พร้อมจะรองรับการโวยวายจากจ้าวอิงอิง แต่แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นนางยกน้ำข้าวกินเงียบ ๆ เท่านั้น
ระหว่างที่จ้าวอิงยกซดน้ำข้าวอยู่นั้น นางก็เหลือบไปเห็นข้าวของที่นางเอาออกมาจากตู้ของ ‘จ้าวอิงอิง’ ยังอยู่ที่มุมเดิมไม่มีใครแตะต้อง นางรู้สึกสะท้อนในใจจริง ๆ ไม่มีใครเชื่อว่านางจะเปลี่ยนไป ถึงขั้นไม่กล้าแตะต้องของของนาง ยอมกินน้ำข้าวใส ๆ กับผักป่าที่รสชาติแสนแย่นี้แทน
‘จ้าวอิงอิงนะจ้าวอิงอิง อยากจับวิญญาณมาแหกดูหัวใจเสียจริง’ เมื่อจ้าวอิงยกน้ำข้าวใส ๆ ซดจนหมดแล้ว จึงตัดสินใจบอกเสี่ยวเป่า
“เสี่ยวเป่าไปเอาขนมกับผิงกั๋วมาให้ท่านปู่ท่านย่ากินด้วยกันสิ”
“เย้ ๆ ผิงกั๋วอร่อยมาเลยนะขอรับ แต่พวกท่านห้ามกินเมล็ดมันนะ ท่านแม่บอกว่าจะปวดท้องเอา”
เสี่ยวเป่าที่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขารีบกระโดดลงจากเก้าอี้ทันที แล้วก็รีบวิ่งไปหยิบเอาผิงกั๋วออกมาสองลูก เช็ดถูกับแขนเสื้อแลดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก จากนั้นก็ส่งพ่อลู่และจางซื่อ เมื่อปู่และย่าของเขารับไปแล้ว ก็วิ่งกลับไปที่กองข้าวของอีกรอบเพื่อหยิบผิงกั๋วออกมาอีกลูก เช็ดถูด้วยท่าทางเงอะงะแต่พยายามอย่างยิ่ง แล้วส่งให้กับจ้าวอิงพร้อมรอยยิ้มเจิดจ้า
“ขอบใจเสี่ยวเป่ามากนะ เสี่ยวเป่าก็กินด้วยกันสิ” จางซื่อกล่าว
“ท่านย่าทำไมไม่กิน อร่อยมากเลยนะขอรับ” เสี่ยวเป่าเห็นปู่กับย่าของเขาไม่ยอมกินสักทีก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“เสี่ยวเป่าเคยกินแล้วหรือ” จางซื่อถามหลานชายอย่างไม่แน่ใจและยังไม่กล้ากิน
“ท่านแม่ให้เสี่ยวเป่ากินแล้วแต่เป็นลูกเล็ก ๆ ไม่ใหญ่เท่าของท่านย่า” เสี่ยวเป่าตอบด้วยความไร้เดียงสา
จางซื่อทำท่าจะยกของนางให้เสี่ยวเป่า จ้าวอิงเห็นดังนั้นจึงรีบห้าม
“ท่านแม่เสี่ยวเป่ากินมาแล้วเจ้าค่ะ หากให้กินลูกใหญ่อีกเกรงจะป่วยได้ ท่านกินสิเจ้าคะ ไม่งั้นเสี่ยวเป่าของเราจะเสียใจ ใช่ไหมจ๊ะเสี่ยวเป่า”
“ใช่ ๆ ท่านย่ากิน” เสี่ยวเป่ารีบพยักหน้า
จางซื่อเห็นหลานชายออดอ้อน ก็ได้แต่ยกขึ้นมากัดกิน เป็นอย่างที่คิดผิงกั๋วลูกนี้อร่อยที่สุดเท่าที่นางเคยกินมาทั้งชีวิต เมื่อหันไปมองสามีของนาง พบว่าลูกที่อยู่ในมือนั้นเหลือเพียงครึ่งลูกแล้ว
หลังจากกินผิงกั๋วไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็ร้องขอกินขนมเพิ่มอีก แต่จ้าวอิงกลัวว่าเสี่ยวเป่าจะจุกแน่นได้ จึงไม่ให้กินและสัญญาว่าจะให้กินพรุ่งนี้แทน ซึ่งเสี่ยวเป่าก็รับคำอย่างว่าง่าย มื้อแรกตั้งแต่ได้มาใช้ชีวิตในโลกใหม่ของจ้าวอิงก็จบลงเช่นนี้...
เพราะคืนนี้เป็นคืนข้างแรมที่ไม่มีแสงจันทร์สาดส่องลงมาสักนิด อีกอย่างบ้านหลังนี้มีตะเกียงเพียงดวงเดียวเท่านั้น ทำให้พวกเขาต้องแยกย้ายกันเข้าห้องนอนอย่างรวดเร็วเพื่อประหยัดน้ำมันตะเกียง ถึงแม้คืนนี้เสี่ยวเป่าอยากมานอนกับจ้าวอิง แต่ห้องหับไม่ได้จัดวางให้ดี จึงให้เสี่ยวเป่านอนกับปู่ย่าของเขาเช่นเดิมไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมานอนกับนาง เมื่อรับปากเสี่ยวเป่าแล้ว เสี่ยวเป่าก็ตามปู่ย่าไปเข้านอนแต่โดยดี ช่างเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายเสียจริง
เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในห้องอันมืดมิด จ้าวอิงก็เข้าไปในห้วงมิติทันที คืนนี้จะต้องนอนในนี้ก่อน นางไม่สามารถทนนอนห้องเหม็น ๆ นั้นได้จริง ๆ กลางดึกเช่นนี้คงไม่มีใครเข้ามาเรียกนางแน่นอน
แต่เพราะนอนมาแล้วทั้งบ่ายตอนนี้จึงยังตื่นเต็มที่ ระหว่างนี้จึงเดินสำรวจสิ่งที่พอจะเอาออกมาทำเงินได้บ้าง บ้านของครอบครัวลู่นี้ช่างน่าเวทนาเกินจะบรรยาย เงินจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
อีกอย่างตอนนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือรักษาขาของลู่ซานถิง ก่อนที่จะต้องเสียขาข้างนั้นไป และจะต้องซ่อมแซมบ้านอีกไม่อย่างนั้นนางคงต้องแอบมานอนในนี้ทุกคืนจะเอาตัวรอดคนเดียวก็ไม่ดีเท่าไหร่
ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดตอนนี้ต้องใช้เงินทั้งสิ้น นางไม่สามารถเข้าป่าตัดไม้มาซ่อมบ้านได้เองหรอกนะ ระหว่างนี้ต้องปรับปรุงเรื่องอาหารการกินไปด้วย ครอบครัวนี้ขาดสารอาหารเหลือเกิน แต่ละคนตัวซีดเหลือง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงอายุไม่ยืนยาวแน่นอน หลังจากเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ ก็ตัดสินใจเข้าไปดูในห้องยาแผนจีน ในนั้นมีทั้งเห็ดหลินจือ ทั้งโสมแดง โสมขาว โสมคน ที่มีอายุหลักห้าสิบปีขึ้นไปถึงหลายร้อยปีก็มีเช่นกัน
‘อ่า ต้องอย่างนี้สิ อย่างน้อยก็มีคลังสมบัติส่วนตัว’
ส่วนสมุนไพรอื่น ๆ อาจจะต้องไปสำรวจดูก่อนว่าโลกยุคนี้ มีสมุนไพรอะไรเป็นที่นิยมและได้ราคาดี ระยะสั้นคงต้องแก้ปัญหาแบบนี้ไปก่อนส่วนระยะยาวคงต้องสำรวจดูพื้นเพและตลาดของที่นี่อีกที
ทุกอย่างไม่อาจวู่วามได้ ไม่อย่างนั้นภัยอาจจะมาถึงตัว นางเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว เมื่อมีคนที่จู่ ๆ มีของดีมากมาย ร้อยทั้งร้อยต้องถูกผู้ไม่หวังดีเพ่งเล็ง หากตอนนี้ยังไม่สามารถเอาตัวรอดได้ จึงสมควรจะทำอย่างเงียบ ๆ ไว้ก่อน
สรุปความคิดได้แล้ว จ้าวอิงจึงเดินไปจัดยาสมุนไพรสำหรับพ่อสามีหรือพ่อลู่ ทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้นางมีทั้งหมด และยังได้ผลชะงัดอีกด้วย หากสามารถนำยาแผนปัจจุบันมาใช้ได้ก็จะยิ่งเห็นผลเร็ว
จ้าวอิงจึงได้ไปที่ห้องเก็บยาแผนปัจจุบันเพื่อนำยาปฏิชีวนะ ออกมาบดให้ละเอียดแล้วห่อกระดาษไว้ เพื่อใช้สำหรับโรยแผลภายนอกให้พ่อลู่
อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยคือยาลดความอ้วนสำหรับตัวนางเอง นางต้องพึ่งพาทางลัดเพราะร่างนี้ทำให้นางอึดอัดนัก เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ นางก็เดินกลับเข้าห้องนอนของนาง และก่อนจะถึงต้องผ่านไปยังห้องครัวเล็กก่อน ยิ่งเห็นห้องครัวท้องนางก็ร้องเสียงดังออกมาทันที นางหิวแล้วจริง ๆ น้ำข้าวใส ๆ ไม่สามารถทำให้อยู่ท้อง จำต้องพึ่งพาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปก่อน เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนตาม
สุดท้ายนางต้องรีบเข้านอน เพื่อตื่นตอนเช้ามาจัดการเรื่องอาหารและยา โลกนี้ต้องตื่นตอนไหนนางไม่แน่ใจนัก เพราะเจ้าของร่างเดิมคนนี้ไม่เคยตื่นก่อนหรือพร้อมกับคนอื่น ๆ เลยพูดง่าย ๆ คือเป็นคนนอนกินบ้านกินเมืองนั่นแหละ
เมื่อนึกถึงร่างเดิมนางก็นึกขึ้นได้ ว่านางไม่เห็นวิญญาณจ้าวอิงอิง ตั้งแต่ที่นางตื่นนอนตอนบ่ายแล้ว คิดแล้วก็รู้สึกว่าน่าแปลกมาก แต่นางก็อาจจะไปภพใหม่แล้วก็ได้
จ้าวอิงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ไว้จะเผากระดาษทำบุญไปให้จ้าวอิงอิงแล้วกัน ขอให้นางไปสู่วัฏสงสารของนางอย่างสงบ
ก่อนเข้านอนจ้าวอิงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่เวลาตีห้า แต่ก็ไม่รู้อีกว่าเวลาในห้วงมิตินี้จะตรงกันกับด้านนอกหรือไม่ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเป็นตัวช่วยเลย หัวถึงหมอนไม่นานนางก็หลับไป
ในห้วงความฝัน ... จ้าวอิงกำลังเดินอยู่ที่บ้านหลังเก่าที่นางเคยอาศัยเมื่อครั้งเป็นเด็ก ตอนที่นางกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั้น จู่ ๆ ภาพก็เปลี่ยนเป็นห้องวิจัยที่สถาบันการแพทย์ที่นางเคยทำงานอยู่เมื่อครั้งยังมีชีวิต นางเห็นโต๊ะทำงานของตัวเองที่ตอนนี้มีลูกน้องคนสนิทของนางนั่งอยู่ ด้วยท่าทางหลุกหลิกเหลียวซ้ายแลขวาหน้านิ่วคิ้วขมวด
จ้าวอิงที่ยืนตรงข้ามเขา
แต่เขาไม่เห็นนาง นางจึงเดินไปที่หลังเก้าอี้เพื่อจะดูว่าเขากำลังทำสิ่งใด ก็ได้เห็นว่าเขากำลังพยายามเข้าถึงไฟล์ลับสุดยอดของนางอยู่
“บ้าชิบ หัวหน้าจะล็อกรหัสอะไรให้ยากขนาดนั้น” เขาสบถออกมาและขยี้หัวตัวเองแรง ๆ
“จะเอาไปทำอะไร” จ้าวอิงพูดออกไปแม้จะรู้ว่าเขาไม่น่าจะได้ยินเสียงนางก็ตาม
“หึย! ทำไมจู่ ๆ อากาศมันเย็นอย่างนี้ล่ะ ขนลุกไปหมดแล้ว อย่าบอกนะว่าลูกพี่มา”เขาทำท่าลูบแขนตัวเองไปมาเหลียวซ้ายแลขวาจากนั้นพูดเหมือนกระซิบกับอากาศ
“ลูกพี่...ถ้าพี่รับรู้ก็ให้ฉันก็อปปี้ข้อมูลของยาแก้พิษดอกเดดลี่ฮอร์สหน่อยเถอะ องค์กรคนชั่วของพวกเรา กำลังจะเอามันมาใช้งานจริงแล้ว หากฉันไม่มียาแก้ฉันคงต้องตายตามลูกพี่ไปสักวันแน่ ๆ”
แล้วเขาก็ยกมือขึ้นพนมเหนือหัวหลับตาปี๋
จ้าวอิงได้ฟังดังนั้นนางก็ถอนหายใจออกมา นางสงสัยอยู่ว่าเหตุใดคนร้ายถึงรู้มุมที่นางหลบอยู่เป็นอย่างดี ทั้งรู้ว่านางต้องเอาตัวเข้าปกป้องเด็กหญิงคนนั้นแน่นอนและยังยิงเข้ากลางอกนางจัง ๆ ได้ขนาดนั้น คงเป็นคนในองค์กรต้องการกำจัดนางสินะ
“ได้สิฉันจะให้รหัสนาย” จ้าวอิงพูดอีกครั้ง
แต่นางไม่รู้จะบอกเขาอย่างไร เดินไปมาก็นึกได้ว่านางเขียนรหัสไว้ เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งต้องให้ลูกน้องมาเปิดคอมพิวเตอร์ของนาง เขียนไว้ที่ข้างตู้เก็บเอกสารด้านหลังโต๊ะ
จ้าวอิงรวบรวมกำลังแล้วทุบลงข้างตู้ไม้นั้น และมันก็ได้ผลตู้ไม้สั่นเบา ๆ แต่ก็ยังไม่มากพอให้ลูกน้องเก่าของนางรู้ตัว จ้าวอิงทุบไปอีกหลายครั้ง จนในที่สุดครั้งสุดท้ายมันก็สั่นแรงพอให้เขารู้สึกตัว
“ตรงนั้นเหรอ ขอบคุณลูกพี่ ไว้ฉันจะไปทำบุญเผาแบงก์กงเต๊กกับผู้ชายหล่อ ๆ ให้พี่เยอะ ๆ นะ” เขาดีใจจนลืมความกลัวผีไปเลย
ภาพสุดท้ายที่จ้าวอิงเห็นคือเขากำลังจดรหัสนั่นออกมา จากนั้นภาพก็จางหายไปเหมือนลมพัด หลังจากนั้นนางก็ไม่รู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพราะนางไม่ฝันอีกเลยจนถึงเช้า
เช้าวันต่อมาหลังจากได้หลับเต็มที่ จ้าวอิงลืมตาตื่นและลุกขึ้นจากที่นอนแสนสบาย ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้วจึงออกมายังห้องนอนรังหนูของนาง มองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่สางมีเพียงเสียงไก่ขัน และเสียงนกเท่านั้นที่ดังอยู่ หากเทียบเวลาปัจจุบันดูจากดวงจันทร์ที่เห็นลาง ๆ แล้ว น่าจะอยู่ในช่วงตีสี่ถึงตีห้าเท่านั้น ยังไม่มีใครในบ้านที่ตื่นขึ้น แต่เมื่อออกมาแล้วนางก็ไม่คิดจะกลับเข้าไปนอนอีก
จ้าวอิงจึงเดินเข้าครัวและสำรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พบว่ามีเพียงข้าวขัดสีไม่หมดประมาณจินเดียว มิน่าเล่าจางซื่อจึงต้มข้าวน้ำใสขนาดนั้น มีผักป่าที่เหี่ยวเฉาจำนวนหนึ่งกองอยู่ เครื่องปรุงรสมีเพียงเกลือเท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ ไม่มีอะไรอีกเลย
นางจึงเข้าไปในห้องโถงนำของที่เอามาจากตู้ของจ้าวอิงอิง มาจัดแจงอีกครั้ง มองไปรอบ ๆ แล้วนางจึงตัดสินใจนำข้าวทั้งหมดลงไปตั้งเตาทำข้าวต้มเกลือข้น ๆ ตั้งหม้อต้มข้าวทิ้งไว้ แต่ต้องคอยคนเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ติดก้นหม้อ เพราะนางยังกะความร้อนจากฟืนไม่ถูก