บทที่ 3 ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาข้าทำเลวไว้มาก
จางซื่อที่เห็นว่าหลานชายนางร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็ตรงเข้ามาดึงตัวเสี่ยวเป่าออก พร้อมตำหนิจ้าวอิงทันที
“เจ้าทำอะไรเขาอีกแล้ว !!”
นางกล่าวด้วยเสียงสูงและสั่นเครือ จ้องหน้าจ้าวอิงเขม็งราวกับว่านางพร้อมจะสู้ตาย
จ้าวอิงทำตัวไม่ถูกเช่นกัน นางไม่ได้ทำอะไรเลยนี่
เสียงของเสี่ยวเป่ายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็พยายามพูดออกมาแม้จะแทบฟังไม่เข้าใจ
“ทะ ท่านย่า เป่า ไม่เป็นอะไร เสี่ยวเป่า ฮึก ๆ ดีใจที่ท่านแม่กอด ฮึก ๆ”
“…” จางซื่อตกใจกับสิ่งที่หลานชายบอกจนพูดไม่ออก
เมื่อจ้าวอิงได้ยินเสี่ยวเป่าพูดแบบนั้นนางก็พูดออกไป “โธ่ เสี่ยวเป่าแม่ขอโทษ มาเถอะมาให้แม่กอดเจ้าอีกครั้ง”
เด็กคนนี้ทำใจนางอ่อนยวบจริง ๆ เขาแค่เด็กที่ต้องการความรักเหมือนนางในชาติก่อนนั่นเอง ว่าแล้วนางก็ยื่นมือออกไปเพื่อรับตัวเสี่ยวเป่าจากมือจางซื่อ แต่จางซื่อกลับก้าวถอยหลัง เห็นได้ชัดว่าไม่ไว้วางใจจ้าวอิงอิงสักนิด จ้าวอิงลูบจมูกอย่างเคอะเขินแล้วบอกจางซื่อ
“ท่านแม่ ข้าเสียใจจริง ๆ เจ้าค่ะ ที่ทำเรื่องไม่ดีไว้มากมาย ขอโอกาสให้ข้าได้แก้ตัวได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางมองเข้าไปในดวงตาของจางซื่ออย่างแน่วแน่ สื่อให้เห็นถึงความมั่นคงและจริงใจ เพราะนางไม่อยากให้จากนี้พวกนางต้องคอยระแวดระวังกันอยู่เช่นนี้
จางซื่อเห็นในตาจ้าวอิงแน่วแน่ขนาดนั้น นางถึงกับตกตะลึงรู้สึกแตกต่างออกไป ซึ่งต่างตรงไหนนางก็ยังคิดไม่ออก รู้ตัวอีกทีเสี่ยวเป่าผละออกจากตัวจางซื่อ ยื่นแขนออกไปหาจ้าวอิง ที่กำลังรับเขาเข้าสู่อ้อมแขนของนางแล้ว
‘หรือนางจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นะ’ จางซื่อผุดความคิดนี้ขึ้นมาในหัว แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อนางนึกถึงจ้าวอิงอิงในเหตุการณ์เก่า ๆ ที่ผ่านมา
‘แต่คนใจร้ายอย่างไรก็คือคนใจร้ายนางจะแสร้งทำได้นานขนาดไหนเชียว’
จางซื่อและลู่ซานถิงมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ลู่ซานถิงเขาขมวดคิ้วพร้อมเกาหัวไปด้วย แล้วหันหน้าไปมองจางซื่อภรรยาเขา จางซื่อที่ตั้งสติได้นางจึงปล่อยให้สองแม่ลูกจ้าวอิงอิงและเสี่ยวเป่าอยู่ด้วยกันไปก่อน แล้วจึงสบตาลู่ซานถิงบอกทางสายตาว่า ‘เอาเถอะรอดูไปก่อนแล้วกัน’
ลู่ซานถิงพยักหน้าให้จางซื่อ แล้วหันหลังออกกลับเข้าไปที่ห้องโถงเช่นเดิม จางซื่อเองก็หันหลังออกไปเช่นกัน แม้ในใจนางจะไม่ได้ยินดีเท่าไหร่นักก็ตาม
หากจ้าวอิงยังรังแกเสี่ยวเป่าไม่หยุดหย่อน นางจะปกป้องหลานคนนี้เอง ต่อให้ต้องหย่าลูกสะใภ้ใจดำคนนี้ เพื่อปกป้องหลานนางก็จะทำ เพียงภาวนาให้อย่าเป็นอย่างหลังเลย จางซื่อหันกลับไปมองจ้าวอิงอุ้มเสี่ยวเป่าพลางพูดคุย นางมองอยู่สักพักจนแน่ใจว่าไม่น่าจะเป็นอะไร นางก็หันหน้าเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารต่อไป
“ท่านแม่ขอรับวันนี้ท่านปู่เก็บผักป่าข้างบ้านมา ท่านย่ากำลังต้มยาให้ท่านปู่ เสร็จแล้วก็จะได้กินข้าว ท่านแม่หิวไหม”
เสี่ยวเป่าถามนางด้วยเสียงออดอ้อน เขาตอนนี้ดีใจมากที่แม่เขากอดและยังอุ้มเขาเอาไว้ไม่ผลักเขาออกไปเช่นที่ผ่านมา
“แม่ไม่หิวเสี่ยวเป่าหิวไหม แม่มีของจะให้เสี่ยวเป่ากินด้วย” จ้าวอิงบอกเขา เมื่อได้ฟังดวงตาเสี่ยวเป่าฉายประกายออกมา
จ้าวอิงมองตาเขา ดวงตาช่างเหมือนท้องฟ้ามืดมิดที่มีดาวเต็มท้องฟ้าเสียจริง นางอุ้มเสี่ยวเป่าเดินมาถึงในห้องนอน หลังจากวางเขาลงนั่งบนเตียง
นางก็เดินไปเปิดตู้ไม้ขนาดไม่ใหญ่มากที่จ้าวอิงอิงใช้เก็บของ เมื่อเปิดดูด้านในก็พบกับกล่องขนม มีน้ำผึ้งน้ำตาลรวมทั้งแป้งแอบซ่อนอยู่ในนั้น
‘จ้าวอิงอิง เจ้านี้มันใจแคบจริง ๆ คนทั้งบ้านแทบไม่มีจะกิน แต่เจ้าแอบซ่อนของดีไว้ขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครรัก’ จ้าวอิงบ่นอุบอิบในใจ
นางทำทีว่าเปิดเอาของในตู้ แต่จริง ๆ แล้วนางหยิบเอาผิงกั๋ว(แอปเปิล) ออกจากห้วงมิติของนาง แล้วหันมาส่งผิงกั๋วลูกเล็กที่สุดให้เสี่ยวเป่า เพื่อที่ปากเล็ก ๆ นั้นจะได้กัดกินง่ายขึ้น
“ท่านแม่นี่คือสิ่งใดขอรับสวยงามมาก” เสี่ยวเป่ารับเอาผิงกั๋วมาถือไว้และจับจ้องลูกสีแดง ๆ ที่แม่เขาส่งให้มา
“นี่เรียกว่าผิงกั๋วรสชาติหวานหอมมากเสี่ยวเป่าลองกัดดูสิ” จ้าวอิงทำท่ากัดให้เสี่ยวเป่าเลียนแบบ
วินาทีที่เสี่ยวเป่ากัดคำแรกนั้น เสียงกรอบ ๆ เนื้อฉ่ำน้ำและมีน้ำหวานทะลักออกมา ทำให้เสี่ยวเป่าตัวน้อยถึงกับโห่ร้องว่าอร่อยมาก ๆ ซ้ำ ๆ ออกมาไม่หยุด ทั้งยังลุกขึ้นวิ่งไปรอบตัวจ้าวอิงอีกด้วย
“ท่านแม่อร่อยมาก อร่อยมาก ข้าไม่เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย”
จ้าวอิงเหมือนได้เห็นลูกโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวน้อย ๆ วิ่งไปมา ดวงตาส่องประกายวิบวับช่างดีจริง ๆ
ระหว่างนี้จ้าวอิงจึงได้สังเกตเสี่ยวเป่าตัวน้อย ผิวเขาค่อนไปทางเหลือง เพราะขาดสารอาหาร ผมก็แห้งกรอบสาเหตุก็มาจากการที่ร่างกายรับสารอาหารไม่เพียงพอและไม่หลากหลาย ขนาดตัวก็...อืม...เทียบกันแล้วออกจะเตี้ยกว่ามาตรฐานสำหรับเด็กวัยสี่ห้าขวบ นึกไปถึงพ่อและแม่สามีของนางก็ตัวซีดเหลืองเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขายากลำบากกันจริง ๆ
“อ่า เสี่ยวเป่าตรงกลางกินไม่ได้นะ ตรงนั้นเป็นเมล็ดมันจะทำให้ปวดท้องได้”
“อร่อยมากขอรับท่านแม่ ข้าอยากเอาไปแบ่งท่านปู่ท่านย่ากินด้วย แต่รู้ตัวอีกทีก็กินหมดแล้ว ท่านปู่ท่านย่าจะตำหนิเสี่ยวเป่าหรือไม่ท่านแม่” เสี่ยวเป่าทำหน้าสลดแล้วก้มหน้าลง
“ท่านปู่กับกับท่านย่าไม่ตำหนิเจ้าหรอก แม่ยังมีลูกผิงกั๋วอีกหลายลูก เดี๋ยวเอาไปแบ่งท่านปู่ท่านย่ากินด้วยกันดีหรือไหม”
“ดีขอรับ” เสี่ยวเป่ายิ้มออกมาทันที
จ้าวอิงหันหลังไปหยิบของกินทั้งหมดในตู้ออกมา และหยิบผิงกั๋วออกมาจากห้วงมิติอีกสองสามลูก ที่เลือกหยิบผิงกั๋วออกมาเพราะนางรู้ว่าที่นี่มีผลไม้ชนิดนี้อยู่ แต่รูปร่างและรสชาติไม่ดีเท่ากับของที่นางเก็บไว้เท่านั้นเอง
เสี่ยวเป่ายังเป็นเด็กเมื่อหลอกล่อด้วยของกิน ก็ลืมเรื่องเก่า ๆ แล้ว แต่กับพ่อและแม่สามีนางต้องระวังมากกว่านี้
“เสี่ยวเป่าท่านพ่อเจ้าได้บอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ท่านแม่ลืมแล้วหรือท่านพ่อบอกว่าจะกลับมาอีกครั้งตอนที่หิมะเริ่มตกแล้ว”
“อ่อ แม่ลืมแล้วจริง ๆ”
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูร้อนใกล้จะเข้าหน้าฝนแล้ว หากเป็นเช่นนั้นอีกสี่เดือนกว่า สามีในนามของนางจึงจะกลับมา ระหว่างนี้นางจะดูแลครอบครัวนี้ไปก่อนแล้วกัน หนึ่งเพื่อแก้ไขความผิดพลาดของร่างเดิม ถือว่าตอบแทนที่นางมาอยู่ในร่างนี้
สองก็เพื่อเสี่ยวเป่านางสงสารและเวทนาเขาจริง ๆ ระหว่างที่คิดนางก็เอามือลูบหัวเขาไปด้วย และที่มากกว่านั้นคือนางไม่อยากให้เขาเป็นเด็กกำพร้า นางรู้ดีว่าการไม่มีพ่อแม่นั้นยากลำบากแค่ไหน และนางยังต้องรักษาขาของพ่อสามีของนางด้วย ที่เขาต้องบาดเจ็บส่วนหนึ่งก็มาจากจ้าวอิงอิงคนเดิม
นอกจากนี้สามีในนามของนางคนนี้ยังเป็นถึงจิ้นชื่อแล้ว อนาคตนางอาจจะได้เป็นฮูหยินขุนนาง ไม่ต้องดิ้นรนเช่นชาติก่อนอีกแล้วก็เป็นได้
จ้าวอิงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งทั้งคู่เดินมาถึงห้องโถงกลางบ้าน เมื่อเดินมาถึงห้องโถงที่ใช้กินอาหาร สิ่งที่ปรากฏในสายตาสิ่งแรกคือโต๊ะตัวเก่าที่ขาหักครึ่งต้องรองด้วยหิน ที่โต๊ะมีสองสามีภรรยาแซ่ลู่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
นางมองลู่ซานถิงเห็นเขายื่นขาที่มีผ้าพันแผลออกมา ขานั้นดูบวมและแดงเป็นอย่างมาก เห็นก็รู้ว่าแผลไม่ได้รับการดูแลที่ดี ทั้งไม่ได้พักผ่อนให้เต็มที่ ตอนนี้น่าจะเริ่มอักเสบแล้ว อากาศร้อนแบบนี้ติดเชื้อได้ง่ายยิ่ง หากปล่อยไว้คงรักษาขาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
เห็นดังนั้นนางจึงตัดสินใจใช้ไม้อ่อนและความสำนึกผิดเข้าหาคนทั้งสอง นางวางของทั้งหมดลงที่โต๊ะ พร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าสองสามีภรรยา นางต้องแก้ไขความเชื่อใจในครอบครัวก่อนเป็นอย่างแรก
สองผัวเมียแซ่ลู่เห็นนางจู่ ๆ ก็หอบข้าวของมากมายวางลงที่โต๊ะและคุกเข่าลง ก็ตกใจวางไม้วางมือไม่ถูก จางซื่อกำลังลุกขึ้นเพราะตกใจ จ้าวอิงเห็นดังนั้นรีบกล่าว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาข้าทำเลวไว้มาก บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าสิ่งที่ทำมามันไม่มีอะไรดีเลย ข้ารู้สำนึกผิดแล้ว ขอท่านพ่อท่านแม่ได้โปรดให้อภัยและให้โอกาสข้า ‘จ้าวอิง’ สะใภ้ผู้นี้ได้แก้ตัวด้วยเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวอิงกล่าวจบก็ก้มหัวลงคำนับให้พวกเขาทั้งสอง
ผู้อาวุโสทั้งสองมองหน้ากันด้วยสีหน้าเหลือเชื่ออยู่บ้าง จ้าวอิงที่ยังก้มหัวอยู่ก็ใจเต้นแรงไม่แพ้กัน รอไม่นานพ่อลู่ก็พยักหน้าให้จางซื่อ ทั้งสองเป็นผัวเมียกันมานานจึงเข้าใจสายตาที่ส่งให้กัน จางซื่อจึงเป็นฝ่ายลุกขึ้นแล้วพยุงจ้าวอิงขึ้นมาพร้อมกล่าว
“บ้านเราเป็นเพียงชาวไร่ชาวนาไม่มีเงื่อนไขอันใดมากมาย ขอเพียงลูกหลานอยู่ดีมีสุขเท่านั้นก็สุขใจแล้ว ส่วนเรื่องของเจ้า ...เฮ้อ...เมื่อผ่านมาแล้วเราสองผัวเมียก็พร้อมจะให้อภัย หากแต่เจ้าต้องจริงใจกับเสี่ยวเป่า”
จ้าวอิงได้ฟังประโยคเรียบง่ายไม่มีคำพูดที่สวยหรู แต่จริงใจเป็นที่สุด ดวงตานางก็แดงก่ำ รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่เข้ามากระแทกใจ
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” นางตอบรับเสียงสั่นเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นตามแรงจับจูงของจางซื่อ
เสี่ยวเป่ายังไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ทำอะไรกัน เขาเดินมาดึงแขนเสื้อของจ้าวอิงแล้วมองนางอย่างไร้เดียงสาและพูดว่า “ท่านแม่เสี่ยวเป่าหิวแล้ว”
เพราะท่าทางน่าเอ็นดูของเสี่ยวเป่า เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งสามคน ทำให้บรรยากาศในบ้านนี้ดีขึ้นถนัดตา
เมื่อถึงเวลาอาหารจางซื่อยกข้าวต้มพร้อมผัดผักป่า ออกมาวางที่โต๊ะตัวเก่า ๆ ทำเอาจ้าวอิงถึงกับอึ้ง นี่ยังเรียกข้าวต้มได้อีกหรือ นางนับเม็ดข้าวในถ้วยยังได้เลย แต่แล้วจ้าวอิงก็ต้องรีบเก็บสีหน้าอย่างรวดเร็ว
พลางถอนหายใจเบา ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกตั้งมั่นในใจ ว่าจะดูแลครอบครัวนี้ให้ดีขึ้นมากกว่าเดิม