3 - ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รุ่งเช้า
หญิงสาวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่ กลับพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอุ่นของเขาเสียแล้ว และศีรษะที่หนุนต่างหมอนมาตลอดทั้งคืน นั่นก็เป็นท่อนแขนของเขา ใบหน้าหล่อเหลาที่เปลือกตายังคงปิดสนิท มองแล้วช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก เพราะทุกครั้งที่ใบหน้านี้เปิดเปลือกตาขึ้นนั้น คิ้วเข้มมักจะขมวดอยู่เป็นปมตลอดเวลา ราวกับว่ามีเรื่องกลุ้มใจให้ครุ่นคิดอยู่ตลอด
มือเล็กกรีดนิ้วเรียวยาวไปตามกรอบของใบหน้าหล่ออย่างหลงใหลเพ่งพินิจพิจารณาสำรวจมอง โดยที่เจ้าของใบหน้าหล่อนั้นยังคงปิดเปลือกตาหลับสนิทอยู่
“คุณกิตติ์! นี่คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เธอเบิกตาโพล้งถามออกไปอย่างตกใจ เพราะเจ้าของใบหน้าหล่อที่หลับสนิทอยู่นั้น เปิดเปลือกตาขึ้นมาแถมมือของเขายังกำที่ข้อมือเธอเอาไว้แน่นอีก
“ก็...ตื่นตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอกำลังแต๊ะอั๋งฉันอยู่นี่แหละ” เขาตอบพร้อมกับหันมามองหน้าเธออย่างอยากจะกวนประสาทเธออีกด้วย
“คะ ใครแต๊ะอั๋งคุณกัน...” เธอตอบเสียงตะกุกตะกักแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะรู้สึกประหม่า และพยายามจะผละตัวออกจากวงแขนกว้างของเขา
“ถ้าอยากหรืออดทนไม่ไหว ก็บอกกันดี ๆ จะได้จัดให้อย่างเต็มที่เลย” เขายังไม่ยอมปล่อย แถมยังดึงเธอเข้ามาแนบชิดกว่าเดิมอีก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยวาจาหื่นห่ามกวนสวนให้เธอเกิดอารมณ์
“ทะลึ่ง! ลามกที่สุด ในสมองคุณคิดแต่เรื่องพวกนี้หรือไง คุณปล่อยได้แล้ว ฉันจะรีบกลับไปบ้าน เดี๋ยวคนก็สงสัยกันพอดี เราหายมาอยู่ที่นี่กันนานแล้วนะ” ศิรดาเอ่ยบอก พร้อมกับพยายามขยับออกจากวงแขนแกร่ง
“จะรีบกลับไปทำไม แล้วพ่อฉันก็รู้ว่าเธออยู่ที่นี่กับฉันตั้งแต่คืนแรกที่เธอมาค้างที่นี่แล้วยัยแป้งเน่า” เขาพูดโต้ง ๆ ขึ้นมา เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ห้ะ...” เธอตกใจเบิกตากว้าง เพราะคิดไปเองว่าเขาคงจะบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเขากับคนเป็นพ่อของเขาไปแล้ว
“จะตกใจอะไรขนาดนั้น” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นดวงตากลมเบิกโต
“แล้วลุงทัศน์ไม่ถามอะไรคุณเลยเหรอ ที่ฉันเอ่อ...มาอยู่ที่นี่กับคุณนานแบบนี้” เธอถามเขาไปด้วยความแปลกใจ และเธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้ท่านผู้มีพระคุณผิดหวัง
“ก็พ่อฉันไม่ใช่หรือไง ที่เป็นคนบอกให้เธอมาหาฉันที่นี่เอง” เขาพูดตามตรง เพราะเขาทราบดีว่าบิดาของเขามักจะให้เธอมาคอยดูแลเขาตลอด หากว่าเขาออกนอกบ้าน
“...” ศิรดาเม้มปากเข้าหากันแน่น ไม่พูดอะไร
ปกรณ์มองคนในอ้อมกอดที่เงียบไป ก็พอจะรู้ว่าเธอเป็นอะไร เธอคงจะกังวลเรื่องความสัมพันธ์เกินเลยของเขาและเธอสินะ มือหนาได้แต่เชยคางเธอให้มามองสบตา
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันยังไม่ได้บอกพ่อเสียหน่อย ว่าเรามีอะไรกันแล้ว” เขาบอกเธอออกไปตามตรง เพื่อให้เธอไม่เป็นกังวล
“ไม่ได้บอกก็ดีแล้ว ต่อไปคุณกิตติ์ก็ช่วยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย” เธอเอ่ยปากขอเขาขึ้นมาบ้าง เมื่อรู้ว่าผู้มีพระคุณของเธอยังไม่ทราบเรื่องนี้
“ก็ไม่ได้อยากบอกให้ใครรู้อยู่แล้ว” แต่คนที่อารมณ์ฉุนเฉียวอารมณ์ขึ้นลงไม่คงที่แบบเขา กลับปากไวพูดโต้ตอบเธอออกไปในทันที
ศิรดาจึงผลักเขาออกห่าง แล้วรีบลุกขึ้น สาวเท้ายาว ๆ เดินไปเข้าห้องน้ำทันที โดยไม่หันมาสนใจคนตัวโตบนที่นอนอีกเลย
*
*
“อ้าววว!!! หายป่วยแล้วเหรอแป้ง”
สุทัศน์ ผู้อาวุโสของที่นี่และเป็นบิดาของปกรณ์กิตติ์ ซึ่งก็คือเป็นพ่อบุญธรรมของเธอด้วย ถามขึ้นทันที ที่เธอย่างก้าวเข้ามาภายในบ้าน
เดิมทีสุทัศน์ให้ศิรดาเรียกตนว่าพ่อ หลังจากที่บิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเสียชีวิตไป แต่เจ้าตัวไม่ยอม ยืนกรานที่จะเรียกลุงเช่นเดิม เพราะกลัวลูกชายแท้ ๆ จะไม่พอใจเอา แค่เธอเข้ามามีบทบาทและอยู่ชายคาเดียวกันในฐานะลูกบุญธรรม ปกรณ์กิตติ์ยังมองเธอในแง่ร้ายเลย
“จ้ะลุง”
“แต่หน้ายังดูเหมือนซีด ๆ อยู่เลยน่ะ วันนี้ก็พักผ่อนอีกวันไปก่อนเถอะ ไม่ต้องทำงานก็ได้” สุทัศน์รับรู้ในคำตอบของหญิงสาว และเมื่อสังเกตใบหน้าของเธอ กลับต้องบอกให้เธอพักผ่อนต่อ เพราะว่าใบหน้าซีดเผือกและอาการของเธอเหมือนยังไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ไม่ได้หรอกจ้ะลุงทัศน์ แป้งอู้งานมามากพอแล้ว เดี๋ยวคุณกิตติ์จะว่าเอาที่ฉันใช้อภิสิทธิ์พิเศษมาเป็นข้ออ้าง” ศิรดารีบขัดขึ้นมาทันที
“อู้ไปเถอะ ลุงอนุญาตเองใครจะกล้าว่าอะไรได้ล่ะ”
“แต่ผมไม่อนุญาตครับพ่อ” ปกรณ์กิตติ์รีบพูดแทรกขึ้นมาทันควัน เมื่อเดินเข้ามาทันได้ยินหญิงสาวคุยกับคนเป็นพ่อ
“มันจะอะไรกันนักหนากิตติ์ ก็น้องยังไม่หายป่วยดีเลย” สุทัศน์รีบแก้ต่างพูดแทนหญิงสาวกับลูกชายเจ้าแผนการของตน
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรมาก ตัวก็ไม่ได้ร้อนแล้วนี้” เขาพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าและใช้หลังมือของเขาอังที่หน้าผากของศิรดาเพื่อวัดอุณหภูมิ
“มันจะเกินไปแล้วนะไอ้ลูกคนนี้ เป็นเพราะแกไม่ใช่หรือไงที่น้องต้องมาป่วยแบบนี้” สุทัศน์ต่อว่าลุกชายขึ้นมาทันที
“เอ่อ คือไม่ใช่แบบนั้นนะลุงทัศน์” ศิรดาเห็นท่าไม่ดี จึงเอ่ยแทรกบทสนทนาของสองพ่อลูกขึ้นมาบ้าง เพราะกลัวว่าปกรณ์กิตติ์จะเผลอพูดเรื่องความสัมพันธ์ออกมา
“แกทำอะไรไว้ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองดีไอ้กิตติ์ แกล้งน้องให้มันน้อย ๆ หน่อย ถึงยังไงแกสองคนก็เป็นพี่น้องกัน” สุทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อมองหน้าหญิงสาว
“ผมเป็นลูกคนเดียวครับ แล้วผมก็ไม่เคยเห็นยัยนี้เป็นน้องสาวของผมด้วย” ปกรณ์กิตติ์สวนขึ้นทันควัน เมื่อคนเป็นพ่อพูดแบบนี้ และมองหน้าศิรดาอย่างเอาเรื่อง
“ฉันขี้เกียจจะเถียงกับแกแล้ว” สุทัศน์จึงยอมอ่อนข้อให้แก่ลูกชาย เพราะรู้ดีว่าคนดื้อรั้นแบบปกรณ์กิตติ์ไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว
“ไปแต่งตัว วันนี้เธอต้องเข้าเมืองกับฉัน” ปกรณ์กิตติ์หันไปสั่งทางศิรดาทันที
“แกจะพาน้องไปไหนอีก”
“ธุระนิดหน่อยครับพ่อ แล้วตอนเย็นก็ไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อนต่ออีก พอดีไอ้ฟืนไอ้ไฟพึ่งกลับมา ถ้าดึกมากก็คงต้องค้างที่นั่นเลย ไม่กลับบ้านนะพ่อ” ปกรณ์กิตติ์ตอบผู้เป็นพ่อออกไปตามตรง เพราะใกล้จะสิ้นเดือน เขาต้องเข้าเมือง และประจวบเหมาะพอดีเมื่อวันนี้ที่เพื่อนทั้งสองของเขากลับมาจากต่างประเทศ
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รุ่งเช้า
หญิงสาวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่ กลับพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอุ่นของเขาเสียแล้ว และศีรษะที่หนุนต่างหมอนมาตลอดทั้งคืน นั่นก็เป็นท่อนแขนของเขา ใบหน้าหล่อเหลาที่เปลือกตายังคงปิดสนิท มองแล้วช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก เพราะทุกครั้งที่ใบหน้านี้เปิดเปลือกตาขึ้นนั้น คิ้วเข้มมักจะขมวดอยู่เป็นปมตลอดเวลา ราวกับว่ามีเรื่องกลุ้มใจให้ครุ่นคิดอยู่ตลอด
มือเล็กกรีดนิ้วเรียวยาวไปตามกรอบของใบหน้าหล่ออย่างหลงใหลเพ่งพินิจพิจารณาสำรวจมอง โดยที่เจ้าของใบหน้าหล่อนั้นยังคงปิดเปลือกตาหลับสนิทอยู่
“คุณกิตติ์! นี่คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เธอเบิกตาโพล้งถามออกไปอย่างตกใจ เพราะเจ้าของใบหน้าหล่อที่หลับสนิทอยู่นั้น เปิดเปลือกตาขึ้นมาแถมมือของเขายังกำที่ข้อมือเธอเอาไว้แน่นอีก
“ก็...ตื่นตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอกำลังแต๊ะอั๋งฉันอยู่นี่แหละ” เขาตอบพร้อมกับหันมามองหน้าเธออย่างอยากจะกวนประสาทเธออีกด้วย
“คะ ใครแต๊ะอั๋งคุณกัน...” เธอตอบเสียงตะกุกตะกักแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะรู้สึกประหม่า และพยายามจะผละตัวออกจากวงแขนกว้างของเขา
“ถ้าอยากหรืออดทนไม่ไหว ก็บอกกันดี ๆ จะได้จัดให้อย่างเต็มที่เลย” เขายังไม่ยอมปล่อย แถมยังดึงเธอเข้ามาแนบชิดกว่าเดิมอีก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยวาจาหื่นห่ามกวนสวนให้เธอเกิดอารมณ์
“ทะลึ่ง! ลามกที่สุด ในสมองคุณคิดแต่เรื่องพวกนี้หรือไง คุณปล่อยได้แล้ว ฉันจะรีบกลับไปบ้าน เดี๋ยวคนก็สงสัยกันพอดี เราหายมาอยู่ที่นี่กันนานแล้วนะ” ศิรดาเอ่ยบอก พร้อมกับพยายามขยับออกจากวงแขนแกร่ง
“จะรีบกลับไปทำไม แล้วพ่อฉันก็รู้ว่าเธออยู่ที่นี่กับฉันตั้งแต่คืนแรกที่เธอมาค้างที่นี่แล้วยัยแป้งเน่า” เขาพูดโต้ง ๆ ขึ้นมา เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ห้ะ...” เธอตกใจเบิกตากว้าง เพราะคิดไปเองว่าเขาคงจะบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเขากับคนเป็นพ่อของเขาไปแล้ว
“จะตกใจอะไรขนาดนั้น” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นดวงตากลมเบิกโต
“แล้วลุงทัศน์ไม่ถามอะไรคุณเลยเหรอ ที่ฉันเอ่อ...มาอยู่ที่นี่กับคุณนานแบบนี้” เธอถามเขาไปด้วยความแปลกใจ และเธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้ท่านผู้มีพระคุณผิดหวัง
“ก็พ่อฉันไม่ใช่หรือไง ที่เป็นคนบอกให้เธอมาหาฉันที่นี่เอง” เขาพูดตามตรง เพราะเขาทราบดีว่าบิดาของเขามักจะให้เธอมาคอยดูแลเขาตลอด หากว่าเขาออกนอกบ้าน
“...” ศิรดาเม้มปากเข้าหากันแน่น ไม่พูดอะไร
ปกรณ์มองคนในอ้อมกอดที่เงียบไป ก็พอจะรู้ว่าเธอเป็นอะไร เธอคงจะกังวลเรื่องความสัมพันธ์เกินเลยของเขาและเธอสินะ มือหนาได้แต่เชยคางเธอให้มามองสบตา
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันยังไม่ได้บอกพ่อเสียหน่อย ว่าเรามีอะไรกันแล้ว” เขาบอกเธอออกไปตามตรง เพื่อให้เธอไม่เป็นกังวล
“ไม่ได้บอกก็ดีแล้ว ต่อไปคุณกิตติ์ก็ช่วยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย” เธอเอ่ยปากขอเขาขึ้นมาบ้าง เมื่อรู้ว่าผู้มีพระคุณของเธอยังไม่ทราบเรื่องนี้
“ก็ไม่ได้อยากบอกให้ใครรู้อยู่แล้ว” แต่คนที่อารมณ์ฉุนเฉียวอารมณ์ขึ้นลงไม่คงที่แบบเขา กลับปากไวพูดโต้ตอบเธอออกไปในทันที
ศิรดาจึงผลักเขาออกห่าง แล้วรีบลุกขึ้น สาวเท้ายาว ๆ เดินไปเข้าห้องน้ำทันที โดยไม่หันมาสนใจคนตัวโตบนที่นอนอีกเลย
*
*
“อ้าววว!!! หายป่วยแล้วเหรอแป้ง”
สุทัศน์ ผู้อาวุโสของที่นี่และเป็นบิดาของปกรณ์กิตติ์ ซึ่งก็คือเป็นพ่อบุญธรรมของเธอด้วย ถามขึ้นทันที ที่เธอย่างก้าวเข้ามาภายในบ้าน
เดิมทีสุทัศน์ให้ศิรดาเรียกตนว่าพ่อ หลังจากที่บิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเสียชีวิตไป แต่เจ้าตัวไม่ยอม ยืนกรานที่จะเรียกลุงเช่นเดิม เพราะกลัวลูกชายแท้ ๆ จะไม่พอใจเอา แค่เธอเข้ามามีบทบาทและอยู่ชายคาเดียวกันในฐานะลูกบุญธรรม ปกรณ์กิตติ์ยังมองเธอในแง่ร้ายเลย
“จ้ะลุง”
“แต่หน้ายังดูเหมือนซีด ๆ อยู่เลยน่ะ วันนี้ก็พักผ่อนอีกวันไปก่อนเถอะ ไม่ต้องทำงานก็ได้” สุทัศน์รับรู้ในคำตอบของหญิงสาว และเมื่อสังเกตใบหน้าของเธอ กลับต้องบอกให้เธอพักผ่อนต่อ เพราะว่าใบหน้าซีดเผือกและอาการของเธอเหมือนยังไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ไม่ได้หรอกจ้ะลุงทัศน์ แป้งอู้งานมามากพอแล้ว เดี๋ยวคุณกิตติ์จะว่าเอาที่ฉันใช้อภิสิทธิ์พิเศษมาเป็นข้ออ้าง” ศิรดารีบขัดขึ้นมาทันที
“อู้ไปเถอะ ลุงอนุญาตเองใครจะกล้าว่าอะไรได้ล่ะ”
“แต่ผมไม่อนุญาตครับพ่อ” ปกรณ์กิตติ์รีบพูดแทรกขึ้นมาทันควัน เมื่อเดินเข้ามาทันได้ยินหญิงสาวคุยกับคนเป็นพ่อ
“มันจะอะไรกันนักหนากิตติ์ ก็น้องยังไม่หายป่วยดีเลย” สุทัศน์รีบแก้ต่างพูดแทนหญิงสาวกับลูกชายเจ้าแผนการของตน
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรมาก ตัวก็ไม่ได้ร้อนแล้วนี้” เขาพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าและใช้หลังมือของเขาอังที่หน้าผากของศิรดาเพื่อวัดอุณหภูมิ
“มันจะเกินไปแล้วนะไอ้ลูกคนนี้ เป็นเพราะแกไม่ใช่หรือไงที่น้องต้องมาป่วยแบบนี้” สุทัศน์ต่อว่าลุกชายขึ้นมาทันที
“เอ่อ คือไม่ใช่แบบนั้นนะลุงทัศน์” ศิรดาเห็นท่าไม่ดี จึงเอ่ยแทรกบทสนทนาของสองพ่อลูกขึ้นมาบ้าง เพราะกลัวว่าปกรณ์กิตติ์จะเผลอพูดเรื่องความสัมพันธ์ออกมา
“แกทำอะไรไว้ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองดีไอ้กิตติ์ แกล้งน้องให้มันน้อย ๆ หน่อย ถึงยังไงแกสองคนก็เป็นพี่น้องกัน” สุทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อมองหน้าหญิงสาว
“ผมเป็นลูกคนเดียวครับ แล้วผมก็ไม่เคยเห็นยัยนี้เป็นน้องสาวของผมด้วย” ปกรณ์กิตติ์สวนขึ้นทันควัน เมื่อคนเป็นพ่อพูดแบบนี้ และมองหน้าศิรดาอย่างเอาเรื่อง
“ฉันขี้เกียจจะเถียงกับแกแล้ว” สุทัศน์จึงยอมอ่อนข้อให้แก่ลูกชาย เพราะรู้ดีว่าคนดื้อรั้นแบบปกรณ์กิตติ์ไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว
“ไปแต่งตัว วันนี้เธอต้องเข้าเมืองกับฉัน” ปกรณ์กิตติ์หันไปสั่งทางศิรดาทันที
“แกจะพาน้องไปไหนอีก”
“ธุระนิดหน่อยครับพ่อ แล้วตอนเย็นก็ไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อนต่ออีก พอดีไอ้ฟืนไอ้ไฟพึ่งกลับมา ถ้าดึกมากก็คงต้องค้างที่นั่นเลย ไม่กลับบ้านนะพ่อ” ปกรณ์กิตติ์ตอบผู้เป็นพ่อออกไปตามตรง เพราะใกล้จะสิ้นเดือน เขาต้องเข้าเมือง และประจวบเหมาะพอดีเมื่อวันนี้ที่เพื่อนทั้งสองของเขากลับมาจากต่างประเทศ
