ตอนที่ 13 อยู่ในตำหนัก
ฝูหลินมองมายังเซียนที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าลู่เหวินกง ไม่ช้าไท่จื่อเสด็จผ่านพระทวารเข้าไปในโถงกลางของพระตำหนัก ฝูหลินมองไท่จื่ออยู่ต้นกฤษณาสูงใหญ่ข้างกำแพงวัง ประจวบเหมาะกับมุมอับทำให้ทหารหน้าประตูไม่สังเกตนาง ทันใดนั้นฝูหลินก็ปีนขึ้นกำแพงได้สำเร็จ นางเห็นเซียนกวนก้าวเดินออกมาจากตำหนัก เดินออกไปยังด้านข้าง รอเวลาสักพักหนึ่งจนแน่ใจว่า ไม่มีใครเข้าไปอีก นางจึงกระโดดลงมา แต่พลาดท่าทำให้นางล้มลงกับพื้นทันที
ปรากฏว่านางนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น หลับตาชั่วครู่ ทันใดทีที่ลืมตาขึ้นมา มองเห็นไท่จื่อทอดพระเนตรจ้องมองใบหน้าของนางอยู่ นางตาโตมองพระองค์ด้วยความตกใจ หวังจะไปเอาปิ่นหางหงส์กลับคืน แต่ว่าตัวเองมาเจ็บตัว
“ให้ข้าพยุงเจ้าลุกขึ้นดีไหม” ไท่จื่อตรัสเรียบเฉย ฝูหลินพลิกตัวเล็กน้อยเพื่อลุกขึ้นยืน ไท่จื่อส่งพระหัตถ์ให้นาง หญิงสาวหมายจะจับมือเขา
เมื่อคิดดูอีกที เขาเอาของนางไปเรื่องอะไรจะรับไมตรีจากเขา นางตบลงพระหัตถ์ไท่จื่อทันที แล้วพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน แต่นางกลับเซและร้องเสียงโอดโอยทันที
“โอ๊ย…”
ฝูหลินหาหลักยึดสิ่งเดียวคือกำแพง อิ๋งหงไท่จื่อกลับแย้มพระสรวล ฝูหลินมองพระพักตร์ของไท่จื่อ เดือดดาลขึ้นมาทันที
“ไท่จื่อ ท่านยิ้มอะไร ที่ข้าเจ็บตัวก็เป็นเพราะท่าน ท่านเอาปิ่นหางหงส์ข้าคืนมาเดี๋ยวนี้”
“อยู่ในตำหนัก” ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย นางหมายจะเดินไปลู่เหวินกง แต่นางร้องด้วยความเจ็บที่ข้อเท้า ไท่จื่อย่อตัวลง ฝูหลินสงสัยว่าพระองค์ทำอะไร
“ท่านทำอะไร”
“ขึ้นมาบนหลังข้า เจ้าเดินไม่ไหวหรอก เร็วเข้า นาทีทองมีเพียงชั่วครู่รีบขึ้นมา” ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย ฝูหลินจำใจขึ้นบนพระขนองของพระองค์ ด้วยอาการปวดเมื่อยเท้า (พระขนอง แปลว่า หลัง)
ถ้าเขาจำเรื่องของเราสองได้ มันจะดีแค่ไหน แต่ว่าเขากลับลืมไปหมดสิ้น
ไท่จื่อเสด็จเข้าลู่เหวินกง โดยมีหญิงสาวอยู่บนพระขนอง ทรงวางนางบนตั่งที่ประทับคลายอิริยาบถทุกวัน ไม่ช้าเฉินซุน เซียนกวนก้าวเดินเข้ามาพร้อมถ้วยชาบนถาด แต่ต้องหยุดลงตรงหน้าพระตำหนัก เมื่อมองเห็นไท่จื่อลงประทับเบื้องหน้าของหญิงงามที่พระองค์เคยทรงหยอกล้อที่เรือนปักษาวารี บัดนี้ทรงประทับนั่งชันพระชานุ ถอดรองเท้านางทีละข้าง พระหัตถ์เรียวสวยคลึงลงบนข้อเท้าของนางเบาๆ (พระชานุ แปลว่า เท่า)
“เจ็บไหม” ไท่จื่อตรัสถามเรียบเฉย
“ไม่เจ็บ” ฝูหลินทูลบอกแผ่วเบา มองดูการกระทำอ่อนโยนของพระองค์ หวนให้ลึกถึงต้าหวางของนางอ่อนโยนไม่มีผิด แม้จะในบางครั้งก็ตามที
แต่ทันใดนั้น
“โอ๊ย…เจ็บนะ” ฝูหลินร้องตะโกนขึ้น เมื่อไท่จื่อใช้พระหัตถ์จัดกระดูกของนางให้เข้าที่
“ทนหน่อย แค่นี้ก็ทนไม่ได้เสียแล้ว แล้วเจ้าจะทำอะไรได้” ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย ทอดพระเนตรมองข้อเท้าของนางที่บวมช้ำ ฝูหลินทูลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทำไมข้าจะไม่ทน ข้าทนมาตั้งสามพันปี”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ไท่จื่อตรัสถาม และทอดพระเนตรมองนาง
“ไม่มีอะไร” ฝูหลินทูลบอก
“เฉินซุน ไปเอาอย่างน้ำอุ่นมาให้ข้าที” ไท่จื่อตรัสเรียบเฉย เฉินซุนที่ยืนข้างประตูรีบไปทันที ไม่นานนักเฉินซุนเดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำ
“วางไว้ตรงนั้น เดี๋ยวข้าไปเอาเอง” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้
“พระเจ้าค่ะ”
เฉินซุนทูลบอก แล้วเดินออกไปทันที กลับเจอกับหมิ่นหลันกงจู่ที่เสด็จมาหน้าห้องบรรทม กงจู่ตกตะลึงกับสิ่งที่ทอดพระเนตรตรงหน้าที่เห็นไท่จื่อกำลังนวดเท้าให้ฝูหลิน แล้วหมิ่นหลันกงจู่หลบด้านหลังเสา
“อิ๋งหงเกอเกอ กับว่าที่ศิษย์ข้า เขาเป็นฟูจวินกับฟูเหรินกันแล้วหรือ” กงจู่ตรัสถามด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา
“ทูลกงจู่ เมื่อครู่ฝูหลินกงจู่ทรงตกจากต้นกฤษณาข้างกำแพงวังลงมา หวังจะมาเอาสิ่งของที่ลืมเอาไว้จากไท่จื่อ กงจู่จึงตกลงมาจากกำแพง ทำให้ข้อเท้าเคล็ด กระหม่อมคิดว่า ไท่จื่อทรงนวดให้ผ่อนคลาย” เฉินซุนทูลบอก
“แต่ก่อนแต่ไร เกอเกอไม่เคยคิดจะสนใจเซียนสตรีนางใด แต่เจ้าดูสิกับนางผู้นี้ อิ๋งหงเกอเกอของข้ากลับดูแลเป็นอย่างดี จนคิดว่าเขาเป็นฟูจวินกับฟูเหรินกันเสียแล้ว” หมิ่นหลันกงจู่ตรัสเช่นนี้ และแย้มสรวล
“เจ้าบอกอิ๋งหงเกอเกอของข้าด้วยว่า ข้าจะกลับแดนบุพชาติก่อน ส่วนฝูหลินนั้นบอกนางด้วยว่า ให้นางหายดีก่อน แล้วค่อยมาคารวะข้า ข้าไปก่อน” หมิ่นหลันกงจู่ตรัสจบ แล้วเลือนหายไปโดยพลัน ขณะที่เฉินซุนกำลังถวายบังคม
เฉินซุนมองเข้าไปในตำหนักมองเห็นไท่จื่อนวดฝ่าเท้าให้ฝูหลินอยู่ แล้วจึงเผยยิ้ม เขาก้าวเดินจากไปทำงานที่ค้างคา
ไท่จื่อทรงนวดลงบนเท้าของฝูหลินอย่างไม่รังเกียจแม้แต่น้อย ฝูหลินมองเงาสะท้อนพระองค์กับเจิ้นเหวินต้าหวาง เมื่อเทียบกันแล้ว ต้าหวางกับไท่จื่อตอนนี้นั้น ต่างกันราวฟ้ากับเหว อิ๋งหงไท่จื่ออ่อนโยนกว่ามากนัก แต่คิดไปคิดมาในโลกมนุษย์นั้น เท้าของผู้หญิงนั้นไม่ควรมีชายใดได้เห็น เห็นนอกจากฟูจวินของนางเอง อีกทั้งไท่จื่อกลับใช้มือนวดคลึงอย่างไม่รังเกียจ นางรู้สึกเกรงใจพระองค์ยิ่งนักจึงหดขาหมายไม่ให้พระองค์ทรงจับ แต่พระองค์กลับดื้อดึง เอาเท้านางลงอ่างอีกครั้งพร้อมกับนวดคลาย ฝูหลินจึงร้องไห้พระองค์หยุด
“พอแล้วเพคะ อย่าทรงลดเกียรติเช่นนี้ ถ้ามีผู้ใดมาเห็นไท่จื่อมานวดผ่าเท้าให้หม่อมฉันเช่นนี้ ไม่เป็นการมิบังควร จะทำให้เสียเกียรติไท่จื่อแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า” ฝูหลินทูลห้ามขึ้นหลายครั้ง จึงใช้หลักเหตุผลคุยกับพระองค์ แต่พระองค์กลับตรัสเรื่องของนางเสีย
“เจ้าเป็นเซียนในร่างของมนุษย์ อีกทั้งเจ้าบำเพ็ญตบะไม่ถึงขั้นซ่างเสิน กลับทำกระโดดปีนขึ้นกำแพงวังของข้า ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ตายในวังของข้า” ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย มือยังคงนวดลงบนฝ่าเท้าของนางอยู่
“คืนปิ่นของหม่อมฉันมาเพคะ”
“ปิ่นเล่มนี้สำคัญกับเจ้าขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าถึงได้หวงแหนปิ่นชิ้นนี้นัก” ไท่จื่อตรัสถามจริงจัง และขมวดพระขนง (พระขนง แปลว่า คิ้ว)
“ที่หม่อมฉันปักปิ่น เล่มนี้เพียงเล่มเดียว เพราะมีคนผู้หนึ่งซื้อให้ และไว้อาลัยให้กับคนผู้นั้น ที่จากไปไม่มีวันกลับ” ฝูหลินเอ่ยอย่างจริงจัง ทำให้ไท่จื่อหยุดนวดฝ่าเท้าของนาง ขึ้นทอดพระเนตรนางด้วยความสงสัย
“บุรุษหรือสตรี” ไท่จื่อตรัสถามเรียบเฉย
“บุรุษเพคะ เขาเป็นฟูจวินของหม่อมฉัน” ฝูหลินทูลบอกเช่นนี้ มองใบหน้าของพระองค์ที่ทอดพระเนตรมองมายังนาง แต่สายพระเนตรนั้นกลับว่างเปล่าไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกอะไรเลย ไม่ช้าก็ทรงลุกขึ้นประทับยืนเสด็จไปเอาผ้า มาประทับนั่งชันพระชานุ ใช้พระหัตถ์ยกเท้านางเช็ดแผ่วเบาทั้งสองข้าง แล้วพระหัตถ์ล้วงเข้าไปในเสื้อผาว เอาตลับอะไรสักอย่างออกมาทาบนฝ่าเท้าของนาง แต่สีของยาออกจะเป็นสีดำ แต่ยาสีดำนี้ นางได้กลิ่นของเหม่ยกุ้ยอ่อนๆ ฝูหลินจึงทูลถามด้วยความสงสัย
“ยาอะไร”
ไท่จื่อทรงทาเสร็จ แล้วปิดฝาส่งให้นาง นางรับไว้ด้วยความงุนงง
“ยาเหม่ยกุ้ย” ไท่จื่อตรัสเรียบเฉย (เหม่ยกุ้ย คือ ดอกกุหลาบ)
“ทำไมถึงเป็นสีดำ ดอกเหม่ยกุ้ยเป็นสีแดงมิใช่หรือ”
“เหม่ยกุ้ยไม่ใช่สีแดงเสมอไป มันมีหลากหลายสี ว่างๆ เจ้าก็ไปเดินเล่นแถวอุทยานจันทราประกาศิต ในอุทยานแห่งนั้นมีดอกเหม่ยกุ้ยมากมาย เป็นดอกไม้ที่เทียนโฮ่วทรงโปรดมีทุกสี มีทุกพันธุ์ที่อยู่บนโลกมนุษย์ นำมาปลูกบนสวรรค์ทั้งสิ้น ส่วนดอกเหม่ยกุ้ยที่ข้าใช้เป็นสีดำ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เอ๊ะ! เดี๋ยวข้าใส่เอง” ฝูหลินทูลบอก ขณะที่มองเห็นไท่จื่อสวมรองเท้าให้จนเสร็จทั้งสองข้าง
“เจ้าไปหาหมิ่นหลันเถิด ป่านนี้นางคงคอยเจ้านานเสียแล้ว” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ แล้วลุกขึ้นประทับยืน เสด็จไปที่โต๊ะเอาพระสูตรมาอ่าน ฝูหลินกล่าวด้วยความร้อนใจ
“ปิ่นหางหงส์ของข้า ท่านเอาคืนมาได้แล้ว”
“ข้าทำหายที่ไหนก็ไม่รู้”
“นี่ท่าน” ฝูหลินทูลด้วยน้ำเสียงดุดัน ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดดีแล้ว
“ในเมื่อข้าทำหาย เจ้าก็คิดว่าปิ่นนี้ คือข้าตอบแทน ที่ข้านวดเท้าให้เจ้า”
“ที่ข้าเจ็บเท้าก็เป็นเพราะท่าน”
“เจ้าทำตัวเองเจ็บตัวเอง”
“ท่าน ไม่ยอมคืนของๆ ข้า ข้าจึงต้องทำวิธีนี้”
“เจ้าทำตัวเอง ยังมาโทษข้า ข้านี่ทำคุณบูชาโทษจริงๆ เชียว”
ฝูหลินเงียบลงไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูดกับความหน้าหนาดั่งหินผาเช่นนี้
“มันหายไปแล้ว แต่ถ้าข้าเจอจะนำไปให้เจ้าด้วยตัวเอง ไปแดนบุพชาติเถิด นางรอเจ้านานแล้ว” อิ๋งหงตรัสจบ แล้วเลือนหายไปในพริบตา ทำให้ฝูหลินยืนงวยงงอยู่ตรงนั้น
