ตอนที่ 9 แก้วมังกรหยก
“จะร้องเสียงดังทำไมกลัวใครไม่ได้ยินหรืออย่างใด...” ฝูหลินเอ่ยถามเช่นนี้ และจำใจประคองไท่จื่อ แล้วจึงก้าวเดินไปพร้อมกัน ไท่จื่อกลับแย้มพระโอษฐ์ แต่นางไม่ทันได้สังเกต
ฝูหลินประคององค์ไท่จื่อมายังเรือนพักรับรองในสำนักเซียนลู่ และพาเสด็จไปนั่งบนตั่ง
“ยาทาบาดแผลอยู่บนชั้นหนังสือ มันเป็นกล่องไม้สีน้ำตาล” ไท่จื่อตรัสบอกกับนางเช่นนี้
ฝูหลินจึงเดินไปที่ชั้นหนังสือ ทอดมองไปตรงกล่องไม้สีน้ำตาล เปิดออกมีผ้าสีขาวพับไว้เรียบร้อย และตลับยาลวดลายดอกพุดตาน นางจึงเอาผ้าขาวออกมาพร้อมกับตลับยาที่อยู่ในกล่อง นำมาวางไว้ตรงโต๊ะข้างตั่งบรรทม แล้วนางก็ก้าวเดินไปเอาอ่างดินขนาดกลางที่ไม่มีน้ำ แล้วใส่น้ำจากกุณโฑ แล้วหันไปหยิบผ้าสีขาวสะอาดใส่ลงไป ฝูหลินก้าวเดินตรงมาหาพระองค์พร้อมกับอ่างน้ำ ทว่านางกลับเห็นไท่จื่อทรงถอดเสื้อเรียบร้อยแล้ว ฝูหลินคิดในใจว่า
‘เอาวะกับนกข้ายังเคยช่วยทำแผลมาเลย กับคนจะไปยากอะไร'
“เจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ” ไท่จื่อทรงตรัสถาม ขณะที่ฝูหลินวางอ่าน และนั่งลงข้างพระองค์ เอาผ้ามาบิดและเช็ดรอยพระโลหิตเบาๆ
“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด...ข้าเป็นหยางหนวี่ของซือฝุฉางถิง” ฝูหลินเอ่ยบอกเช่นนี้ แล้วจึงเอาผ้าใส่ลงอ่างน้ำ และใช้ผ้าสีขาวพันที่แผล (หยางหนวี่ แปลว่า ลูกบุญธรรมผู้หญิง)
“แล้วเตี่ยกับเหนียงชินของเจ้าไปไหน” ไท่จื่อตรัสถามเช่นนี้ และทอดพระเนตรมองใบหน้าของนาง
“ทุกวันนี้ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เตี่ยและเหนียงชินที่แท้จริงของข้าเขาเป็นใคร หยางฟู่ได้บอกข้าแค่ว่า เขาคงเลี้ยงเจ้าไม่ได้ อาจจะมีฐานะยากจน หรือไม่เขาอาจจะมีความจำเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถเลี้ยงดูเจ้าได้ แต่หยางฟู่ได้บอกข้าเสมอว่า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจะเป็นทั้งเตี่ยและเหนียงชินของเจ้า ดวงชะตาอาจจะกำหนดให้เจ้าเป็นลูกของข้าก็เป็นได้ อย่าคิดถึงอดีตที่ผ่านพ้นไป ให้คิดถึงปัจจุบัน และอนาคตจึงจะดีกว่า” ฝูหลินเอ่ยบอกพระองค์เช่นนี้ แล้วจึงเปิดขวดยาออก (หยางฟู่ แปลว่า พ่อบุญธรรม)
“ข้าขอโทษที่ถามถึงอดีตของเจ้า” ไท่จื่อตรัสแผ่วเบาด้วยความหดหู่พระทัยยิ่งนัก
“ไม่เป็นอะไร เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว” ฝูหลินเอ่ยบอกเช่นนี้ ราวกับว่าจะร้องไห้ พระองค์ไม่ตรัสถามต่อ แต่ทว่า
“โอ๊ย...แสบ...เบาๆ” ไท่จื่อร้องด้วยความเจ็บปวด อีกทั้งยังทอดพระเนตรมองนางที่ใช้มือทาบนบาดแผลของพระองค์ ฝูหลินเผยยิ้มแล้วจึงเอ่ย
“เจ็บนิดเดียวเอง” ฝูหลินเอ่ยบอกเช่นนี้ และใช้ผ้าพันแผล พันที่พระกร
“เจ้าเคยทำแผลบ่อยแน่ๆ” ไท่จื่อตรัสถาม
“เจ้าคนแรกที่ข้าทำให้ยกเว้น ซ่งหลาน” นางเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ทำให้ไท่จื่อขมวดพระขนงด้วยความสงสัย (พระขนง แปลว่า คิ้ว)
“ซ่งหลานเป็นใคร”
“ซ่งหลานเป็นนกแก้ว ที่ข้าช่วยชีวิตมันไว้มันโดนยิงมา ข้าเลยรักษาจนมันหาย แล้วปล่อยมันไป ป่านนี้คงไปมีครอบครัวแล้ว”
'ข้าเป็นอะไร หึงแม้กระทั่งสัตว์ เดี๋ยวก่อนนะ ข้าหึงงั้นหรือ...'
“เสร็จแล้ว ข้าต้องกลับไปที่ห้อง ป่านนี้ยวนหยางคงตามหาข้า” ฝูหลินเอ่ยบอกจบ และลุกขึ้นยืน แต่ทว่าไท่จื่อทรงจับมือไว้
“เดินดีๆ ละ...เดี๋ยวเสือจะลากเจ้าไปกิน” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ และแย้มพระสรวล
“รู้แล้วน่า”
ฝูหลินก้าวเดินออกไปจากห้อง พระองค์ทรงนั่งประทับ แล้วทรงแย้มพระสรวล ฮุ่ยหลานคลานออกมาจากเสื้อผาวที่อยู่ข้างใน ฮุ่ยหลานมองพระพักตร์ของพระองค์ด้วยสายตาห่วงใย แล้วร้องเบาๆ
เมี๊ยว...เมี๊ยว
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าสบายใจได้ ลูกนี้ของเจ้า” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ และทรงวางลูกท้อให้ฮุ่ยหลานกินบนโต๊ะข้างตั่ง ฮุ่ยหลานจึงแทะกินเบาๆ
“นางคือผู้หญิงที่น่าสนใจจริงๆ”
“...คุณหนูฝู...” เสียงจากยวนหยาง ดึงสติของฝูหลินกลับคืนมา
“คุณหนูคิดอะไรอยู่คะ ทานซุปก่อนค่ะ มันใกล้เย็นแล้ว” ยวนหยางส่งถ้วยซุปให้ฝูหลิน นางจึงรับเอาไว้
“เตี่ยไปลานประลองแล้วหรือ” ยวนหยางเอ่ยบอกเช่นนี้ ฝูหลินดื่มน้ำซุปหนึ่งคำ
“ค่ะ...อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามค่ะ...อ๊ะ...คุณหนูจะทำอะไร” ยวนหยางเอ่ยถามด้วยความสงสัย เห็นว่าฝูหลินวางถ้วยเดินไปที่หีบเสื้อผ้า
“ข้าจะไปลานประลอง”
“ไม่ได้นะคะ...คุณหนู...”
ไม่ทันขาดคำของยวนหยาง ฝูหลินวิ่งออกจากห้องไป ยวนหยางจึงต้องวิ่งตามไป
“การประลองมีทั้งหมดสองการแข่งขัน...ใครชนะ...เอา ‘แก้วมังกรหยก’ ของสำนักเซียนลู่ไป”
ฉางถิงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดังลั่นต่อหน้าผู้ท้าประลองทั้งยี่สิบแปดคน รวมถึงลูกศิษย์ของสำนักเซียนลู่สิบคน
“แก้วมังกรหยก เป็นสิ่งของวิเศษที่ตกทอดกันมาของสำนักเซียนลู่ มันมีตั้งแต่การก่อตั้งของสำนัก เมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว และไม่มีใครเคยเห็นมันมาก่อนด้วย” ผู้เข้าประลองคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ใช่ๆ ...เห็นบอกกันว่าเป็นของปรมาจารย์ซ่งลู่...เจ้าสำนักเซียนลู่ผู้ก่อตั้ง” ผู้เข้าประลองอีกคนก็พูดขึ้นมาเช่นกัน
“ขอให้พวกท่านมองตรงหน้า” ฉางถิงเอ่ยบอกเช่นนี้ และเนรมิตลูกแก้วสีเขียวส่องแสงประกาย ด้านในมีน้ำอยู่ตรงกลาง น้ำในนั้นกลับไม่หยุดนิ่งแต่อย่างใด ทุกคนต่างตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นมันมาก่อนรวมถึงศิษย์ในสำนักเทียนลู่
“การประลองลอบครั้งที่หนึ่ง จงชิงธงบนเขาหลีเหิง ใครนำธงลงมาได้เป็นผู้ชนะ”
เมื่อฉางถิงเอ่ยบอกเช่นนี้ ทุกคนมองไปยังภูเขาสูงชัน สูงเหนือเมฆขึ้นไปอีก ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างฉางถิงลุกขึ้นมา และป่าวประกาศ
“น่าสนใจยิ่งนัก ข้าในนามของสำนักไป๋ซาน ขอเข้าประลองการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย ถือว่าข้าจะได้เปิดหูเปิดตาอีกด้วยจะได้หรือไม่” ไท่จื่อเจิ้นเหวินตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย
“ไท่จื่อ ข้ามิขัดข้องพระองค์อยู่แล้ว...” ฉางถิงเอ่ยบอกไท่จื่อเช่นนี้
“ขอบคุณ” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ และทรงแย้มพระสรวล และกระโจนราวกับเหาะเหินขึ้นบนอากาศไปยังลานประลอง ทุกคนมองเขาด้วยสายตาชื่นชม
ขณะที่ลูกศิษย์แต่ละสำนักกำลังประจำที่เพื่อคว้าแก้วมังกรหยก หญิงสาวใบหน้างดงามทั้งสองคนยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ยวนหยางมองเห็นชายหนุ่มชุดขาวสะอาดตา ผมรัดเกล้าดั่งเชื้อพระวงศ์อยู่ในกลุ่มผู้เข้าประลอง ทำให้นางสะดุดตายิ่งนัก
