ตอนที่ 8 นางพญางูขาว
“มีอะไรหรือหมิงเยว่ สีหน้าของเจ้าดูเหมือนไม่สบายใจ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหรือ” ฝูหลินเอ่ยถามเช่นนี้ เขาถอนหายใจยาวๆ และเอ่ยบอกกับนาง
“ฝูหลิน...ข้ามีเรื่องสำคัญจะมาบอกเจ้า” หมิงเยว่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และหลบสายตาของนางโดยทันที
“มีเรื่องอะไรหรือ มองหน้าข้าสิ...” นางเอ่ยถามอีกครั้ง เขามองใบหน้างดงามของนาง
“ฝูหลินคือข้า...เฮ้ย...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลและถอนหายใจ
“หมิงเยว่ ข้าและเจ้าไม่เคยปิดบังกันตั้งแต่ยังเล็ก แม้จะเคยรู้จักเวลาอันสั้นไม่ถึงเดือน ครั้งที่ฉิงฉางซือฝุมาพร้อมกับเจ้า แต่เวลานั้นข้ามีความสุข คือเวลาที่อยู่กับเจ้า” นางเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม และจับมือหนาของเขาที่เย็นยะเยือก
“ฝูหลิน...ข้ากำลังจะแต่งงานกับเกาเหม่ยกงจู่ แห่งแคว้นหยวน” หมิ่งเยว่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทำให้หญิงสาวปล่อยมือเขาทันทีด้วยความตกใจ เขาจึงเอ่ยต่อ
“ฝูหลิน...ข้าไม่อยากจะแต่งงานกับผู้ใดที่ไม่ใช่เจ้า ข้ารักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น แต่เตี่ยของข้า อยากให้ข้าเป็นดองกับแคว้นหยวน แม่ของข้าเองก็เป็นเม่ยเมยพระขนิษฐาของหยานอวี้เฉิน ต้าหวางแห่งแคว้นหยวน” หมิงเยว่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่ฝูหลินเงียบไม่พูดสิ่งใดออกมา เขาก็เอ่ยต่อ (เม่ยเมย แปลว่า น้องสาว)
“ฝูหลิน เมื่อข้าแต่งงานกับนางแล้ว...ข้าจะเหอหลีกับนางทันที” เขาพูดด้วยความหนักแน่น (เหอหลี แปลว่า หย่า)
“หมิงเย่ว่ ข้าอยากอยู่คนเดียว” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฝูหลิน”
“ข้าอยากอยู่คนเดียว ถ้าท่านไม่ไป ข้าจะไปเอง” ฝูหลินเอ่ยบอกเช่นนี้ และมองใบหน้าของเขา เขาจึงก้าวเดินจากไป ปล่อยให้นางอยู่เพียงลำพัง
“เมื่อเราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เราแต่งงานกันนะฝูหลิน ข้าอยากให้เจ้าเป็นฟูเหรินของข้า และข้าอยากอยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิต”
“ข้าพึ่งจะสิบขวบเองนะ หมิงเยว่”
“ข้ามีสิ่งหนึ่งจะให้เจ้าเป็นสิ่งแทนใจข้า” เขาเด็ดดอกโบตั๋นสีชมพูที่อยู่ใกล้มือ ส่งให้นาง
“นี่คือดอกไม้แทนใจข้า เป็นสิ่งที่ข้าจะมอบให้เจ้า...ข้าสัญญาจะรักเจ้าและจะแต่งงานกับเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
ฝูหลินใช้มือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบกล่องใบเล็กออกมา และเปิดออกดู เห็นว่าเป็นดอกไม้แห้งสีน้ำตาล แต่พอหยิบออกมา มันก็ปลิวไปตามสายลม
ข้ารอเจ้ามาตั้งสามปี…ข้ารักแต่เพียงเจ้า...แต่ความรักของข้ากลับสูญเปล่า
'...ต่อแต่นี้ต่อไป ข้าฝูหลิน จะมิขอมีใครเข้ามาอยู่ในใจอีกต่อไป'
มือหนึ่งจับที่ไหล่ของนาง นางจับมือเขาอย่างรวดเร็ว แล้วหักอย่างแรง นางหันหน้าหาเขา
“โอ๊ย...โอ๊ย...ข้าเอง...” ชายหนุ่มที่ร้องด้วยความเจ็บปวด ฝูหลินจึงปล่อยพระหัตถ์ของพระองค์ออก ไท่จื่อทรงสลัดพระหัตถ์ให้บรรเทาความเจ็บปวด
“เจ้าอีกแล้ว” ฝูหลินเอ่ยบอกอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเดินหนีพระองค์ ไท่จื่อทรงจับแขนนางไว้อย่างรวดเร็ว
“ฝูหลิน” ไท่จื่อตรัสเรียกชื่อของนาง ฝูหลินจึงหันหลังมามองพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความสงสัย
“ท่านรู้ชื่อของข้าได้อย่างไร” ฝูหลินเอ่ยถามด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดพระองค์จึงรู้จักชื่อของนาง
“พอดีข้าผ่านมาได้ยินเจ้าคุยกับชายผู้นั้น”
“ท่านแอบฟังข้าคุยกับหมิงเยว่หรือ” ฝูหลินเอ่ยถามเช่นนี้ และชักสีหน้าไม่พอใจ
“ก็ข้าบอกเจ้าแล้วไงเล่า ว่าข้าแค่เดินผ่านมา พูดถึงเรื่องนั้นแล้วอย่าไปเสียใจเลย เจ้ายังมีข้าทั้งคน” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ และทรงโอบกอดไหล่ของนาง นางสะบัดพระกรของพระองค์ทันที
“ท่านอย่ามายุ่งกับข้า ข้าไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกับท่าน” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดุดันและไม่พอใจ
“ข้าก็ไม่ได้อยากสนิทสนมด้วยหรอก ข้าเห็นว่าคนกำลังเศร้าจึงคิดว่าจะปลอบใจ ข้าทำคุณบูชาโทษโดยแท้” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ และแย้มพระสรวน
“ท่านไปเสียเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว” หญิงสาวเอ่ยบอกจบ และเดินหนีพระองค์ ไท่จื่อจึงทรงปล่อยให้นางเดินไป แต่ทว่าทรงกลับทอดพระเนตรเสือหิมะตัวใหญ่วิ่งด้วยความเร็วกำลังจะเดินกระโจนใส่นาง
“ระวัง!!!”
ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงดุดัน และใช้ผลักนางไปข้างทางทำให้นางล้มลง เสือตัวนั้นกลับกระโจนใส่พระองค์ทันที ไท่จื่อทรงใช้พระหัตถ์สู้กับมัน และต่อยมันด้วยหมัดเดียวกระเด็นไกลไป พระองค์ทรงลุกขึ้น มันวิ่งเข้ามา ฝูหลินที่ยืนขึ้นมองดูไท่จื่อทรงสู้อยู่เพียงลำพัง
ใจหนึ่งก็จะหนี แต่ก็อดสงสารไม่ได้ นางมองหาไม้ท่อนใหญ่ฟาดลงกลางหลังเสือตัวนี้ กลับกลายเป็นว่า เจ้าเสือนั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย มันจึงเล็งมาที่นางแทน
“เจ้าหนีไป...ข้าจัดการมันเอง” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ ขณะที่มีพระโลหิตสีขาวดุจน้ำนมไหลออกมาจากพระกร ไท่จื่อทรงร่ายเวทให้พระโลหิตเป็นสีชาด ให้นางเห็นว่าเป็นสีชาด ไม่ใช่สีขาวดุจน้ำนม
“อย่าพูดมาก ท่านคนเดียวเอามันไม่อยู่หรอก” ฝูหลินเอ่ยบอกเช่นนี้ นางจึงวิ่งหนีเสือหิมะตัวนั้น มันจึงไล่ตาม ไท่จื่อทรงวิ่งตามโดยทันที
“เจ้าเอาตัวเองเป็นตัวล่อหรือ” ไท่จื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงเคร่งเครียด ทอดพระเนตรมองเสือหิมะวิ่งไปหานาง พระองค์จึงเสกกระบี่พุ่งไปที่คอของมันทันที มันจึงล้มลง พระองค์ทรงวิ่งไปที่มัน แล้วชักกระบี่ออก มันกลับสิ้นลมหายใจโดยทันที ฝูหลินจึงเดินมาดู
“เจ้าเป็นเช่นไร” ไท่จื่อตรัสถามนางโดยทันที
“ข้าไม่เป็นอะไร แต่เจ้า...” ฝูหลินเอ่ยบอกเช่นนี้ เพราะนางเห็นว่าพระองค์มีพระโลหิตสีชาดเต็มพระวรกาย พระองค์จึงทรงหันไปทอดพระเนตรที่ต้นพระกรที่โดนกัดรอยลึกพอสมควร
“เจ้าควรไปทำแผล” ฝูหลินเอ่ยบอกอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงอย่างลืมตัว
“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ” ไท่จื่อตรัสถามเช่นนี้ อีกทั้งยังแย้มพระสรวล
“ข้าก็ต้องเป็นห่วงคนที่ช่วยชีวิตข้า” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยความหนักแน่น
“ตอนนี้เจ้าเป็นหนี้บุญคุณข้าแล้วนะ”
“แล้วท่านอยากให้ข้าตอบแทนท่านด้วยอะไร”
“พาข้าไปทำแผล ยังที่พักของข้า”
“ข้าไม่ไป” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หมายจะลุกขึ้นยืน ไท่จื่อทรงพยุงพระองค์ลุกขึ้นประทับยืนช้าๆ แต่ทรงร้องด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย...เจ็บจังเลย...โอ๊ย...โอ๊ย...” ไท่จื่อร้องคราญครางเช่นนี้ ฝูหลินจึงพยุงพระองค์ลุกขึ้นประทับยืน
