ตอนที่ 6 ไม่ได้ต่างกันเลย
“เจ้าบ้าเอ๊ย!!! อย่าให้เจอนะ เจ้าได้ตายคามือข้าแน่ ศิษย์พี่ใหญ่ หยางฟู่ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย เชือกบ้าอะไรเนี่ยมันรัดข้าแน่นขนาดนี้” ฝูหลินร้องตะโกนและดิ้นรนไปมาด้วยความเจ็บและคัน เพราะนี้มันเกือบหนึ่งชั่วยามแล้วที่นางห้อยอยู่บนต้นไม้เช่นนี้
ทันใดนั้นได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังเบาๆ เข้าไปในโสตประสาทของนาง ทำให้รู้ว่านั้นคือ พวกศิษย์ของสำนักเซียนลู่กำลังตามหาอยู่
“ฝูหลิน...ฝูหลิน...เจ้าอยู่ที่ไหน ซือฝุจะกลับสำนักแล้วนะ...”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่แปด...ศิษย์พี่ข้าอยู่นี่” หญิงสาวร้องตะโกนออกไป ทำให้พวกเขาวิ่งมาตามเสียงของนางโดยทันที ชายหนุ่มทั้งสี่ก็มายืนตรงหน้าของเนางโดยทันที
“ฝูหลิน” เสียงของชายหนุ่มทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้านางร้องด้วยความตกใจที่เห็นฝูหลินสภาพถูกมัดโยงกับต้นไม้
“ช่วยข้าด้วย” ฝูหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ใครมัดเจ้าเอาไว้” ศิษย์พี่สามเอ่ยถามนาง
ไป๋เจิ่นแกะเชือกมีศิษย์น้องรอง ช่วยกันแกะ จนออกทั้งหมด
“เจ้าบ้าที่ไหนก็ไม่รู้จับข้ามัดไว้ อย่าให้เจอนะ ข้าจะฆ่าให้ตายเลยคอยดู” หญิงสาวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
“เอาเถิดเรื่องนั้นไว้ก่อน ท่านอาจารย์คงเรียกพวกเราแล้ว ฝูหลินเจ้าไปแต่งตัวใหม่เถิด” เทียนเป่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เขาขโมยดอกบัวของข้าไปด้วย” หญิงสาวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เดี๋ยวข้าจะหารือกับอาจารย์ด้วยตัวเอง เจ้าไปเถิด” เทียนเป่ายืนยันคำเดิม
“ก็ได้” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และถอนหายใจเดินไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ศิษย์พี่ใหญ่...นั่นเป็นดอกบัวมังกรที่ฝูหลินรักและดูแลเป็นอย่างดี” ไป๋เจิ่นเอ่ยบอกเช่นนี้
“เรื่องนี้อาจารย์ต้องรู้แน่” เทียนเป่าเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน”
น้ำเสียงเรียบเฉยของชายชรา ทำให้หญิงสาวที่เดินเข้าห้องโถงต้องหยุดชะงักโดยทันที แล้วนางก็หันกลับมามองชายชราผู้นั้น คือ ฉางถิงชือฝุ
“หยางฟู่...หยางฟู...” ฝูหลินร้องไห้โดยทันที ทำให้ฉางถิงตกใจยิ่งนัก เขาจึงก้าวเดินไปหานาง นางจึงกอดเขาโดยทันที
“เจ้าเป็นอันใด...ไยจึงร้องไห้” ฉางถิงเอ่ยถามและกอดประโลมหญิงสาว
“มีคนขโมยดอกบัวของข้าไป” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“ดอกบัวในสำนักมีตั้งมากมาย ศิษย์พี่ของเจ้าอาจจะเอาบัวไปปรุงยา”
“ไม่ใช่ศิษย์พี่คนใดเอาไป” ฝูหลินเอ่ยบอกเช่นนี้และคลายอ้อมกอด
“ใครเล่าจะเอาไป...สำนักของข้าใช่ว่าจะเข้าออกกันง่ายๆ” ฉางถิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มีชายรูปร่างขาว สูง ใหญ่ มาขโมยเอาไป” หญิงสาวเอ่ยบอกลักษณะของชายที่ขโมยดอกบัวของนางไป
“ศิษย์ในสำนักข้าก็มีแต่คนสูงใหญ่ทั้งนั้น” ฉางถิงนึกถึงศิษย์ทั้งสิบห้าคน
“ไม่ใช่ศิษย์พี่ของข้า แต่เป็นคนนอก แล้วดอกบัวนั้นข้ารอคอยให้มันเบ่งบานมาแสนนาน แต่แล้วโจรมันขโมยดอกบัวของข้าไป หยางฟู่ข้าต้องการดอกบัวของข้าคืนมา”
“ดอกไหนเล่า” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะดอกบัวในสำนักก็ไม่ได้มีเพียงดอกเดียว
“ดอกที่อยู่ในบึงหลังสำนักที่ข้าไปทุกวัน มันเป็นลำต้นสีทอง ใบเป็นสีทอง ดอกสีแดงสด” หญิงสาวเอ่ยบอกบรรยายลักษณะของดอกบัวให้หยางฟู่ได้รับฟัง
“ช่างมันเถอะลูก เขาอาจจะมีความจำเป็น บัวมังกร เดี๋ยวมันก็บานขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งพันปี” ฉางถิงเอ่ยบอกเหมือนกับว่าไม่ไยดีสักเท่าไหร่
“หยางฟู่นั้นเป็นดอกบัวที่ข้ารักมากนะ กว่าจะออกดอกอีกตั้งพันปี ข้าคงตายแล้วตายอีก สักสามชาติ” ฝูหลินเอ่ยบอกอย่างหัวเสีย
“เอาเถิดไหนๆ ก็โดนขโมยไปแล้ว เดี๋ยวข้าปลูกกุหลาบพันปีให้เจ้าเอง” ฉางถิงเอ่ยบอกเช่นนี้ แล้วเดินออกห้องโถง
“ไม่ได้ต่างกันเลย” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้าพักผ่อน ข้าต้องไปจัดแจงลานประลองให้เรียบร้อย ส่วนเจ้าอยู่ในห้องนี้ไม่ต้องออกไปวุ่นวายเด็ดขาด เข้าใจไหม”
“เจ้าค่ะ” ฝูหลินนั่งลงบนเบาะรองนั่งแล้วถอนหายใจ
“ปล่อยข้านะ” นางหันไปตะโกนใส่พระพักตร์ จังหวะนั้นพระองค์ทรงหันพระพักตร์หานาง ริมฝีปากสวยได้รูปประทับบนริมพระโอษฐ์หนาไม่ทันตั้งตัว เมื่อพระองค์สบโอกาสใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งดันนางมาประทับพระโอษฐ์แน่นขึ้นทันที จนหญิงสาวเริ่มขาดอากาศหายใจ จึงพระองค์ถอนพระโอษฐ์หญิงสาวใช้มือผลักพระองค์ทันที
“คนฉวยโอกาส” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวใช้มือตบลงบนพระพักตร์ของไท่จื่ออย่างจัง
ฝูหลินใช้มือลูบที่ริมฝีปากเบาๆ ที่ไท่จื่อประทับพระโอษฐ์เมื่อไม่กี่ชั่วยามมานี้ ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้ว่า
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ถึงได้เข้าออกที่นี่อย่างง่ายดายเช่นนี้”
ฝูหลินลืมตาขึ้นมากลางดึก นึกถึงเรื่องกลางวันชายผู้นั้นที่จูบลงมาบนริมฝีปาก ทำให้นางนอนไม่หลับ ทั้งนอนคว่ำ นอนตะแคงข้างไปมา ก็ไม่หลับเสียที ตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยโดยจูบ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ทำให้นางหงุดหงิดใจไม่น้อย
“เจ้าคนบ้า...เจ้าทำให้ข้านอนไม่หลับ”
ฝูหลินเอ่ยบอกแผ่วเบา กลัวว่าสาวใช้ที่นอนข้างเตียงจะตื่นขึ้นมา นางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งก้าวลงจากเตียง มาหาสาวใช้
“ยวนหยาง...ยวนหยาง” ฝูหลินเอ่ยแผ่วเบา และใช้มือสะกิดสาวใช้ของนางเบาๆ ว่าจะตื่นไหม ปรากฏว่านางไม่ตื่น
“ยวนหยางเจ้าหลับสบายเสียจริงนะ” ฝูหลินเอ่ยบอกอีกครั้ง แล้วจึงย่องเท้าเบาๆ ทว่าเสียงหนึ่งทำให้นางตกใจยิ่งนัก
“คุณหนู...วันนี้ข้าย่างเป็ดย่างให้กิน...อืม...”
ยวนหยางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาคล้ายคนละเมอ และตะแคงข้างไปอีกฝั่ง
“ชู่ววว...”
ฝูหลินถอนหายใจ แล้วจึงก้าวเดินไปเปิดประตูออกเบาๆ เดินไปด้านนอก
ฝูหลินก้าวเดินจากเรือนไปยังริมสระบัว แต่ยังเดินไม่ถึงสระบัว นางกลับเห็นลูกแมวตัวเล็กเท่าหนูสีขาวทั้งตัวขนปุกปุย นัยน์ตาสีฟ้า กำลังกินผลท้ออยู่ลูกหนึ่ง ทำให้นางแปลกใจยิ่งนัก เพราะส่วนมากแล้วแมวจะกินปลาไม่ใช่เหรอ แล้วเหตุใดแมวตัวนี้จึงกินผลท้อเล่า
“แมวน้อย เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ตัวเดียวแม่เจ้าไปไหน ข้าตามหาแม่เจ้าให้ดีไหม” ฝูหลินเอ่ยถามด้วยความเอ็นดู จึงใช้มือเรียวลูบลงบนหัวแมวเบาๆ แต่แล้ว
“เจ็บนะ...เจ้าแมวบ้า” ฝูหลินร้องด้วยความตกใจที่โดนแมวตัวนี้งับนิ้วของนาง
“เมี้ยว...”
แมวตัวนี้ร้องด้วยความตกใจที่โดนนางดุ แล้วมันก็วิ่งหนีไปหาชายหนุ่มที่เดินมาเข้า และขึ้นไปบนพระอังสาของไท่จื่อเจิ้นเหวินทันที (พระอังสา แปลว่า ไหล่)
“ก็เจ้าไปยุ่งกับมันเวลากินมันก็เลยกัดเจ้าเอาไง” ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองทันทีนางรู้ว่าเป็นใคร
“ท่าน...” ฝูหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย
“คิดถึงข้าหรือ” ไท่จื่อตรัสถามเช่นนี้ แล้วชะโงกพระพักตร์ชิดใกล้ชิดใบหน้าของนางทันที
“เอาหน้าท่านออกไปเสีย” ฝูหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน และใช้แรงทั้งหมดผลักองค์ไท่จื่อ พระองค์กลับทรงนิ่งไม่ไหวติง แล้วนางจึงเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“ท่านไม่ไป ข้าไปเองก็ได้”
ฝูหลินลุกขึ้น แต่เท้ากลับไปโดนหินทำให้นางล้มทับพระวรกาย ริมฝีปากนางจูบลงบนริมพระโอษฐ์ของพระองค์โดยไม่ตั้งตัว ไท่จื่อจึงทรงโอบกอดนางไว้ทันที ทำให้ฝูหลินมองพระพักตร์ที่งดงามเหนือบุรุษที่นางเคยพบพานอย่างเผลอไผล พอหญิงสาวได้สติจึงเอ่ยขึ้น
