ตอนที่ 1-3
แม้ดอกบ๊วยจะมีกลีบบอบบางแต่ทนทานต่อหิมะ แล้วเหตุใดเทพธิดาดอกบ๊วยถึงเหาะลงมาเที่ยวชมสินค้าในตลาด ทั้งที่นางควรจะมีหน้าที่รับใช้พระองค์ในวัง คิดแล้วยังเสียดายไม่หาย
พระเนตรคมปลาบของฮั่นหลิวตี้มองอย่างพิจารณาถึงเครื่องหน้างดงาม ทั้งดวงตา จมูก ริมฝีปาก ใบหู แขน ขา และไหล่ นับว่าเข้าตำราหญิงงามที่ต้องถูกส่งตัวคัดเลือกเข้าวัง ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่ย่อมไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป อย่างไรเสียก็ต้องถูกส่งตัวเข้าไปรับการคัดเลือก หากมองคุณสมบัติภายนอก นางไม่มีทางตกหลักเกณฑ์ไปได้ แต่เหตุใดหญิงงามนางนี้กับพระองค์ถึงไม่เคยประสบพบเจอกันมาก่อน
ฮั่นหลิวตี้ในชุดฮั่นฝูสีฟ้าปักลายดอกบ๊วยดูอ่อนช้อยงดงามหันไปถามหญิงวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกัน และกำลังเลือกผ้าต่วนชิ้นหนึ่งอยู่
“ท่านป้าเจ้าขา ท่านรู้จักคุณหนูคนงามที่เลือกของในร้านเครื่องเขียนนั้นหรือไม่เจ้าคะ”
หญิงวัยกลางคนนางนั้นวางมือจากผ้าต่วนสีสันสดใสแล้วหันมาส่งยิ้มให้หญิงงามแปลกหน้า
“เจ้าคงไม่ใช่คนเมืองนี้ถึงไม่รู้จักคุณหนูจางหยูเฟยคนงาม นางเป็นธิดาของอดีตท่านแม่ทัพจางจิ้นเหอ”
“เป็นธิดาของอดีตท่านแม่ทัพใหญ่นี่เอง ช่างบังเอิญนัก” ไม่อยากเชื่อว่านางนี่เองคือคนที่พระองค์ลอบมาดู เป็นนางนี่เอง “ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ” เพราะปิ่นที่ตกในห้องบรรทมนั้นเขาเป็นผู้มอบให้แก่อดีตแม่ทัพจางจิ้นเหอด้วยมือตัวเอง ความเป็นไปได้ถึงผู้ต้องสงสัยจึงมาตกที่จวนสกุลจาง ซึ่งเวลานี้คนที่ดูแลจวนคือคุณหนูจางหยูเฟย เพราะทั้งอดีตแม่ทัพจางจิ้นเหอและฮูหยินได้เสียชีวิตไปแล้ว เหลือแต่คุณชายใหญ่จางจิ้นไฉที่ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพและประจำอยู่ที่ชายแดนนานหลายปีแล้ว
“เจ้าถามทำไม หรือสงสัยว่าใช่คุณหนูจางหยูเฟยคนนี้หรือไม่ที่มาติดป้ายประกาศหาสาวใช้เพื่อไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ ในจวนสกุลจาง”
“พี่เลี้ยงเด็ก”
ยังไม่ทันที่หญิงผู้นั้นจะพูดอะไรต่อ ซารังน้อยและเด็กหญิงชายภายในจวนสกุลจางอีกสามคนก็พากันวิ่งกรูมาตรงหน้าฮั่นหลิวตี้ หากพระองค์ไม่เอี้ยวพระวรกายหลบ เจ้าลิงทโมนพวกนั้นคงวิ่งชนพระองค์จนล้ม
“เจ้าเด็กพวกนี้นี่เกือบวิ่งชนข้า”
หางพระเนตรมองตาม พระองค์ไม่ชอบเด็ก เคยได้ยินมาว่าทารกตุ๋นกับรังนกเป็นยาอายุวัฒนะ แต่ก็ไม่เคยเสวยสักทีเพราะรู้สึกเหี้ยมโหดเกินไป แต่เจ้าเด็กพวกนี้เสียงดังเหลือเกิน
“เดี๋ยวข้าก็สั่งจับไปตุ๋นยาจีนซะให้หมด”
ซารังได้ยินเสียงพี่สาวคนงามเอ็ดอย่างไม่พอใจจึงวิ่งกลับมาแล้วย่อตัวคำนับ “ขอโทษเจ้าค่ะ พวกข้ารีบร้อนไปหน่อย”
ฮั่นหลิวตี้โบกพระหัตถ์ไล่เจ้าพวกนี้ให้ไปไกลๆ คงจะวิ่งตามพ่อค้าหาบเร่มาแล้วแย่งกันขอซื้อกลองถาวกู่หรือกลองป๋องแป๋งที่เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง
“ข้าเอาหนึ่งอันเจ้าค่ะ” ซารังบอกเสียงดังสดใส
“ข้าด้วยเจ้าค่ะ/ข้าก็เอาด้วยขอรับ”
ฮั่นหลิวตี้มองแล้วรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า แต่พอเห็นพ่อค้าอีกคนหาบซานจาเคลือบน้ำตาลเสียบไม้ผ่านมา ซารังก็มองตามขนมชนิดนั้นไปด้วยสายตาละห้อย
หญิงชาวบ้านผู้นั้นจึงชี้ให้หญิงงามแปลกหน้าดู “คุณหนูจางหยูเฟยหาพี่เลี้ยงไปดูแลเด็กพวกนี้ไง เจ้าสนใจไปทำงานที่สกุลจางไหมล่ะ”
ฮั่นหลิวตี้ที่แปลงโฉมมาเสียงามหยดย้อย ทอดพระเนตรมองเทพธิดาดอกบ๊วยของพระองค์ แล้วสลับมองเจ้าเด็กสามสี่คนนี้แล้วรู้สึกเสียดายของ ทดท้อในพระทัยยิ่งนัก
“ลูกนางดกถึงเพียงนี้เชียวหรือ” พลางลอบถอนใจ ที่แท้นางคงเป็นหยกมีตำหนิไปแล้วจึงไม่ถูกคัดเลือกเข้าวัง
พลันหญิงวัยกลางคนก็ฟาดฝ่ามือลงบนต้นแขนนาง ขณะที่เว่ยกงกงแอบตกใจ หญิงชาวบ้านผู้นี้มีตาหามีแววไม่ กล้าตีแขนฮ่องเต้ รู้หรือไม่เงาหัวหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อลอบมองสีพระพักตร์ กลับไม่มีอาการที่บ่งบอกถึงความขุ่นเคืองพระทัย
“เจ้าอย่าได้พูดจาส่งเดช คุณหนูจางหยูเฟยยังไม่ได้ออกเรือน เด็กพวกนั้นเป็นบ่าวในจวน อีกอย่าง คุณหนูจางคงไม่คิดแต่งกับผู้ใด น่าเสียดายความงามยิ่งนัก”
“เหตุใดท่านป้าถึงกล่าวเช่นนั้น” คะเนอายุของจางหยูเฟยน่าจะเลยวัยปักปิ่นมาหลายปีแล้ว
“เจ้าช่างไม่รู้อะไร ตั้งแต่อดีตแม่ทัพจางเสียชีวิตลงไป สกุลจางก็เริ่มย่ำแย่เพราะขาดเสาหลัก ใครๆ ก็รู้ท่านเป็นขุนนางตงฉิน สกุลจางจึงไม่ได้ร่ำรวย แล้วยังเลี้ยงคนเก่าแก่ไว้มาก ไหนยังพวกเชลยจากอาณาจักรโชซ็อนโบราณที่ท่านแม่ทัพนำกลับมาด้วย ทั้งยังออกลูกมาเป็นภาระไว้ให้สกุลจางเลี้ยงอีก ได้ยินว่าทรัพย์สมบัติสกุลจางร่อยหรอจนแทบหมด คุณหนูจึงต้องทำการค้าผ้าไหมและเครื่องปั้นดินเผาให้แก่พวกพ่อค้าเร่ วันๆ เอาแต่ทำงานจึงไม่ยอมรับของหมั้นจากคุณชายสกุลใด”
นับว่าเป็นเรื่องแปลก พระองค์ไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูสกุลใดมีนิสัยเยี่ยงนี้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุเพียงสิบแปดปี ต้องหาเลี้ยงบ่าวไพร่ในจวน ทั้งที่นางจะเลือกเอาความสุขสบายของตนเองแต่งออกไปกับคุณชายที่มีฐานะดีก็ย่อมได้ แต่บางทีนั่นอาจเป็นฉากบังหน้า เบื้องหลังอาจมีตื้นลึกหนาบางแอบ
แฝงตามที่พระองค์สงสัย
“คุณหนูจางท่านนี้น่านับถือนัก” ฮั่นหลิวตี้เอ่ยชม ดวงตามังกรไม่คลายจากร่างอ้อนแอ้น
“เจ้าคงไม่รู้ว่า นอกจากคุณหนูจะค้าขายกับชาวฮั่นด้วยกันแล้ว นางยังค้าขายกับชาวต่างชาติด้วย”
คำพูดนี้ของหญิงวัยกลางคนเรียกความสนใจของฮั่นหลิวตี้ให้เพิ่มขึ้นไปอีก
“ท่านป้าว่าอย่างไรนะ”
“คุณหนูจางพูดภาษาต่างชาติได้ด้วย แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าภาษาอะไร ข้าฟังไม่ออก แต่คนละแวกนี้เขารู้กันทั้งนั้น”
คิ้วกระบี่ของโอรสสวรรค์เลิกสูงขึ้น “น่าสนใจยิ่งนัก”
ผ้าไหมและงานหัตถกรรมของชาวฮั่นมีทั้งพ่อค้าชาวตะวันตกและชาวเปอร์เซียต้องการซื้อ แต่นางสื่อสารกับคนพวกนั้นรู้เรื่องได้อย่างไร ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก
พระองค์เคยส่งองครักษ์ไปสืบจากพวกพ่อค้าเร่ชาวตะวันตกว่าเข้ามาทำการค้ากับสกุลจางได้อย่างไร องครักษ์รายงานว่าคนของสกุลจางพูดได้หลายภาษา
นั่นก็น่าสงสัยพอแล้ว มิหนำซ้ำยังได้ยินว่ามีพวกเชื้อสายโชซ็อนโบราณแฝงอยู่ในจวน แล้วถ้าหากนางเป็นวรยุทธ์อีก ก็ต้องเป็นนางแน่ที่ลอบเข้าไปยังตำหนักของพระองค์ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก บิดานางทำความดีความชอบไว้แก่แผ่นดินมากโข แต่ถ้าลูกหลานกลายเป็นคน
ทรยศ คิดกบฏขายชาติ สกุลจางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
อีกอย่าง เวลานี้จางจิ้นไฉ บุตรชายคนโตของอดีตแม่ทัพก็ขึ้นเป็นรองแม่ทัพ ฝีมือของเขาฉกาจฉกรรจ์ไม่แพ้ผู้เป็นบิดา บัดนี้ออกปราบชนกลุ่มน้อยอยู่ที่ชายแดน แม้แต่อดีตฮองเฮาของพระองค์ที่หายสาบสูญไประหว่างส่งตัวเข้าห้องหออย่างเป็นปริศนาก็เป็นสตรีที่มาจากสกุลจาง
และเพราะเรื่องนี้ก็ทำให้สกุลจางหมางใจกับราชสำนักมาแล้ว คนในตระกูลจางคงคิดว่าพระองค์เกี่ยวพันกับการหายตัวไปของอดีตฮองเฮา เพราะนางไม่ใช่สตรีที่พระองค์ให้ความสนใจ ทั้งหมดล้วนเกิดจากความเหมาะสมทางการเมือง
