ตัวร้ายอย่างข้าไม่ขอเป็นฮองเฮา

111.0K · จบแล้ว
บุษบาบัณ/นศามณี
64
บท
12.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

‘บิดาของนางต้องพรากจากมารดา ก็เพราะฮั่นหลิวตี้ ฮ่องเต้อันธพาล’ ‘ท่านอาที่นางรักเคารพประดุจมารดาแท้ๆ หายสาบสูญไป ก็เพราะฮั่นหลิวตี้ ฮ่องเต้อันธพาล’ ‘ซารังน้อย เด็กในปกครองของนางต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ ก็เพราะฮั่นหลิวตี้ ฮ่องเต้อันธพาล’ จางหยูเฟย รังเกียจฮ่องเต้อันธพาลผู้นี้ยิ่งนัก จนไม่อยากเฉียดกายเข้าใกล้ นางถึงขั้นหลอกลวงเบื้องสูงหนีการคัดเลือกนางในก็ทำมาแล้ว แต่เหตุไฉนฮ่องเต้อันธพาลนั่นกลับกล้าปลอมตัวมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่ข้างกายนาง แล้วยังใช้เล่ห์กลวางหมากหลอกนางเข้ามาในวังแล้วยัดเยียดตำแหน่ง ‘หลานสาวฮองเฮา’ ให้ ตำแหน่งอะไร! ไม่เคยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์มาก่อน แต่เชื่อเถอะ ฮั่นหลิวตี้ โอรสสวรรค์ผู้นี้ทำได้ทุกอย่างโดยไม่สนกฎหรือธรรมเนียมใดๆ “เอาหูมานี่” คุณหนูจางหยูเฟยกระดิกนิ้ว ลี่ถิงเอียงหูมาใกล้นาง จากนั้นริมฝีปากแดงระเรื่อก็ขยับเอื้อนเอ่ยให้ได้ยินกันเพียงสองคน “ฮ่องเต้ไร้คุณธรรมผู้นั้นรูปงามเสียที่ไหน อ้วนลงพุง คนขายหมั่นโถวที่ตลาดยังรูปงามกว่าหลายเท่า เจ้าไม่เคยเข้าวังคงยังไม่รู้” คุณหนูคนงามไม่คิดว่าคนที่นางกำลังนินทาจะได้ยินบทสนทนานี้ ‘ข้าลงพุงหรือ ข้าขี้เหร่กว่าคนขายหมั่นโถวที่ตลาดงั้นหรือ ดีละ พรุ่งนี้ข้าจะส่งทหารไปลากตัวคนขายหมั่นโถวไปประหาร โทษฐานที่หล่อกว่าข้า’ ฮั่นหลิวตี้ลอบมองจางหยูเฟย พอนางบอกเสร็จก็มองออกไปนอกหน้าต่างขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ‘ข้าว่าที่เจ้าไม่เข้าวัง คงเพราะคิดว่าข้าอ้วนลงพุงและไม่หล่อ’ “แล้วคุณหนูเคยเห็นพระพักตร์ฮ่องเต้แล้วหรือเจ้าคะ” “ใช่ ข้าเคยเห็นครั้งหนึ่ง ท่านอาวาดภาพฮ่องเต้พอดี อาสาวของข้ามีฝีมือการวาดภาพยอดเยี่ยม เห็นจากภาพก็เหมือนเห็นจากพระองค์จริงนั่นแหละ แล้วอย่าปากมากเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเล่า ถึงหูฮ่องเต้โฉดเมื่อใด ข้ากับเจ้าอาจไร้เงาหัว” ‘ไม่ต้องห่วงแค่หัว ตัวเจ้าข้าก็จะฉีกเป็นชิ้นๆ’ ‘บังอาจเกินไปแล้วนังหนู

นิยายจีนโบราณฮ่องเต้แม่ทัพท่านอ๋องนางกำนัลพระเอกเก่งกลอุบายในวังวังหลังจีนโบราณดราม่า18+

ตอนที่ 1-1 ปิ่นเจ้าปัญหา

ฮั่นหลิวตี้ประทับอยู่ที่โต๊ะทรงพระอักษรด้วยสีพระพักตร์สงบนิ่งมานานกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ขณะที่เว่ยกงกงได้แต่ลอบมองโอรสสวรรค์ด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่กล้าผลีผลามถามอะไรในเวลานี้ มหาขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงได้แต่ฝนหมึกไปเงียบๆ ดวงตาผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนานลอบมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ครั้งหนึ่ง หากบอกว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้รูปงาม ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น

ด้วยพระองค์นั้นอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ร่างกายกำยำสูงโปร่ง อกผายไหล่ผึ่ง เพียงแต่ยามสวมใส่อาภรณ์กลับดูซ่อนรูป มิได้ดูมีมัดกล้ามบึกบึนจนน่าหวั่นเกรงเฉกเช่นเหล่าขุนพลในกองทัพฮั่น

พระพักตร์ของโอรสสวรรค์นั้นงดงามเกลี้ยงเกลาราวหยกขาวสลักเสลา พระเนตรมังกรที่ควรจะคมดุ น่าเกรงขามเฉกเช่นพระบิดากลับมีความคมและหวานล้ำราวนัยน์ตาท้อเช่นพระมารดา หากโอรสสวรรค์ผลิยิ้มจะมองเห็นฟันขาวงดงามราวกับไข่มุกทอประกาย ยามใดสวมชุดฉลองพระองค์สีขาว กลับยิ่งดูงดงามสูงส่งประหนึ่งเทพเซียนบนสวรรค์ที่ลงมาเดินอวดโฉมเล่นให้มนุษย์ในแดนดินได้ยลโฉมเป็นบุญตา

ว่ากันว่าหากพระองค์เกิดมาเป็นสตรี คงเป็นสตรีที่สวยเทียมฟ้า งดงามล่มบ้านล่มเมืองไม่แพ้พระมารดาในวัยสะคราญซึ่งถูกยกย่องให้เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินฮั่น ซ้ำยังมีกลิ่นกายหอมจนเป็นที่เลื่องลือไปทุกทิศ

ฮั่นหลิวตี้มักจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทางสีพระพักตร์ ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ในอารมณ์กรุ่นโกรธหรือยินดี สีพระพักตร์สง่างามก็ยังราบเรียบเช่นเดียวกันเสมอ

ฮั่นหลิวตี้หรืออดีตรัชทายาทหลิวตี้ได้รับการสถาปนาให้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาเมื่ออายุยี่สิบชันษา เวลานี้พระองค์อยู่ในวัยยี่สิบห้าชันษา ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ พระองค์ปรับปรุงการรบ การเข้ารับราชการภายในราชสำนัก รวมถึงปฏิรูปการปกครองเสียใหม่ เลือกใช้ขุนนางที่มีความซื่อสัตย์ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย่อมส่งผลอันดีต่อราษฎร แต่ไม่เป็นผลดีต่อขุนนางกังฉิน

ฮ่องเต้ฮั่นหลิวตี้ทรงพระปรีชาสามารถทั้งด้านการเมืองและการทหาร เมื่อสองปีที่แล้วพระองค์นำทัพไปปราบพวกซยงหนูซึ่งอาศัยอยู่ทางภาคเหนือ คนกลุ่มนี้มักรวมตัวกันแล้วเข้าปล้นชิงเงินจากพ่อค้า นักเดินทาง บางครั้งลามมาถึงในเมือง และเมื่อต้นปีนี้ พระองค์ส่งสองขุนพลใหญ่นำกองทัพหลายแสนนายบุกไปตีอาณาจักรใหญ่น้อยจนนำชัยชนะกลับมาได้

ดวงตาคู่คมของฮั่นหลิวตี้มองปิ่นประดับผมโบราณชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือ ปิ่นชนิดนี้มีลักษณะหัวใหญ่ ประดับด้วยเพชรนิลจินดางดงามมาก แต่สายพระเนตรปลาบคมย่อมรู้ว่าเป็นเพชรแท้นิลเทียม

ปิ่นในพระหัตถ์ที่ฮั่นหลิวตี้กำลังจ้องเขม็งและหมุนไปมานั้นงดงามอ่อนช้อย อัญมณีที่ประดับอยู่นั้นล้อกับแสงเทียนจนเกิดแสงทอประกายงดงาม ฮั่นหลิวตี้จ้องมองอย่างสนพระทัย

“เรื่องนี้ทำให้ข้าสนใจนัก”

พระองค์จะไม่สนใจเครื่องประดับชิ้นนี้เลยหากเมื่อคืนก่อนไม่มีคนร้ายลอบเข้ามาในตำหนักที่ประทับแล้วทำปิ่นชิ้นนี้ตกไว้ คนร้ายแต่งกายมิดชิดคล้ายจะเป็นผู้ชายบุกเข้ามาถึงห้องพระบรรทม แต่มันดันทำปิ่นที่เป็นเครื่องประดับของสตรีหล่นไว้ มันหนีการไล่ล่าของเหล่าองครักษ์เสื้อแพรไปได้ นับว่าเป็นสุดยอดฝีมือ แต่ที่น่าตลกคือมันทำปิ่นชิ้นนี้ตก

ท่าทางสูงส่งของโอรสสวรรค์คล้ายไม่แยแส แต่ในพระทัยเต็มไปด้วยความสงสัย

***‘ใครกันลอบเข้ามาในตำหนักส่วนพระองค์’***

***‘คนร้ายเป็นใคร เกี่ยวอะไรกับปิ่นนี้’***

***‘จุดมุ่งหมายของมันคืออะไร ลอบฆ่าพระองค์หรือไม่’***

“เว่ยกงกง เจ้าไปสั่งให้คนเตรียมม้าและเสบียงให้พร้อม ข้าจะเดินทาง เรื่องการเดินทางครั้งนี้ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ เข้าใจหรือไม่”

“ฝ่าบาทจะเสด็จเป็นการส่วนพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่น่าถาม ข้าสั่งให้ปิดเป็นความลับ ย่อมต้องการให้การเดินทางครั้งนี้เงียบที่สุด ห้ามแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ ผู้ใดรู้เรื่องนี้ ข้าจะตัดหูเจ้าซะ เว่ยกงกง”

แม้พระพักตร์จะงดงามราวกับอิสตรี แต่เว่ยกงกงรู้ว่าโอรสสวรรค์เป็นฮ่องเต้เฉียบขาดมากที่สุดพระองค์หนึ่ง ถ้าเอ่ยจะตัดหู นั่นคือตัดจริง

เว่ยกงกงรู้สึกขนลุกเมื่อลอบเห็นมุมปากที่ผลิยิ้มงดงามปานกลีบเหมยเปื้อนเลือด

แม้เป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศค่อนข้างเย็น เมฆหนาทึบ แต่เสียงสวบสาบย่ำไปบนใบไม้แห้งราวกับไม่กลัวหนาวดังขึ้นเป็นระยะ เสียงหัวเราะของเด็กหญิงชายหลายคนในจวนวิ่งไล่จับผีเสื้อกันสนุกสนาน ในขณะที่ผู้รับใช้ภายในจวนต่างเร่งมือทำความสะอาดเรือน

หนึ่งในเสียงหัวเราะนั้นคือ ซารัง เด็กหญิงตัวน้อยอายุสี่ขวบเศษ ซารังมีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นชาวฮั่นและเลือดครึ่งหนึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวอาณาจักรโชซ็อนโบราณ เด็กหญิงมีใบ

หน้างดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ

ซารังช่างพูดช่างเจรจา น่าเอ็นดูนัก เสียดายที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเยาว์ แม่ของซารังไม่เคยทิ้งนางไปหลายวันแบบนี้ ข่าวล่าสุดที่ได้รับมาทำให้ผู้ที่อุปการะเด็กน้อยปวดใจนัก และยังไม่รู้ว่าจะหาทางบอกซารังน้อยยังไง

จางหยูเฟย ธิดาคนงามคนเดียวของอดีตท่านแม่ทัพจางจิ้นเหอเดินนำขบวนสาวใช้ที่ถือถาดไม้ตามมา บนถาดของสาวใช้แต่ละคนมีเข่งไม้ไผ่สาน ในนั้นบรรจุหมั่นโถวร้อนๆ และซาลาเปารสเลิศ

ขณะที่เด็กหญิงซารังยังเล่นสนุกกับเพื่อนโดยไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น เมื่อดวงตาสุกใสเป็นประกายเหลือบไปเห็นขบวนของจางหยูเฟย ซารังตัวน้อยรู้ดีว่าวันนี้คงได้กินของอร่อยจนพุงกาง เด็กหญิงลอบยิ้มแอบเลียริมฝีปาก ค่อยๆ เดินเข้ามาหานายสาวแล้วยอบตัวคารวะ

“คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”

ตามที่มารดาเคยพร่ำสอนให้ทำตัวเป็นเด็กดี เชื่อฟังผู้ใหญ่ทุกคนในจวนนี้ เพราะคนที่นี่มีบุญคุณต่อพวกนางสองแม่ลูกยิ่งนัก

“ลุกขึ้นเถอะซารัง”

จางหยูเฟยทรุดกายอ้อนแอ้นงดงามปานเทพธิดานั่งลงบนเก้าอี้ นิ้วเรียวขาวสะอาดลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของเด็กน้อย แล้วดึงสองแก้มขาวอมชมพูราวกับซาลาเปาของซารังเบาๆ เป็นการหยอกเย้า

“ซารัง เจ้ามีซาลาเปาแล้วสองลูก ข้าให้เจ้าลูกเดียวคงพอ” จางหยูเฟยส่งยิ้มอ่อนโยน

ในขณะที่เด็กๆ คนอื่นเริ่มรู้งานกรูเข้ามาต่อแถวซารัง แต่แม่หนูน้อยย่นคิ้วพลางลอบชำเลืองมองซาลาเปาลูกโตรสกลมกล่อมหอมหวานที่เคยกัดกินแล้วรู้ดีว่าอร่อยลิ้นเกินห้ามใจ ลูกเดียวคงไม่พอ

“คุณหนูเจ้าขา” ซารังยกแขนป้อมๆ ขึ้นมากุมสองแก้มที่เนื้อสีขาวอมชมพูล้นมือราวกับเป็นซาลาเปาใบโตที่กินเท่าไรก็กินไม่หมด “นี่แก้มของซารังเจ้าค่ะ ไม่ใช่ซาลาเปา แก้มกินไม่ได้นี่เจ้าคะ”