
ตราบใดหัวใจยังเต้น
บทย่อ
นอกจากหัวใจที่เจ็บปวด ยังรู้สึกอับอายขายหน้าบอกไม่ถูก เพราะเป็นความจริงว่าเธอได้หลงรักผู้ปกครองหนุ่มเข้าจริงๆ เขาคงขันเธอ...อาจนึกดูถูกดูแคลนเธอเต็มหัวใจ ความรักของเธอไม่เพียงแต่ไร้ค่า ยังถูกเหยียบย่ำ หยันหยาม!
ตอนที่1
นิราลุกเดินไปยืนมองออกนอกหน้าต่างบ้านหลังเล็ก มีห้องนอนเพียงสองห้อง ห้องนั่งเล่นกับห้องรับแขกนั้นอยู่ในห้องเดียวกัน
ประตูห้องนอนปิดเอาไว้ห้องหนึ่ง เป็นห้องของหล่อน อีกห้อง เป็นห้องของปู่ หล่อนเปิดประตูเอาไว้เพราะต้องเข้าๆ ออก อยู่เกือบตลอดเวลา เนื่องจากเจ้าของห้องไม่สบาย
แนบไม่ยอมให้เพื่อนบ้านส่งข่าวเกี่ยวกับการล้มป่วยของเขา ถึงหลานสาว ซึ่งเข้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนประจำจังหวัด เพราะรู้ว่าหลานกำลังเตรียมตัวสอบกลางภาค
หล่อนรู้มานานแล้วว่าปู่ของหล่อนไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านร้านถิ่นเดียวกัน ในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างตัวอำเภอออกมาสิบกว่ากิโล และไกลตัวจังหวัดเกือบหกสิบกิโลเมตร
นอกจากแนบจะใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใครเกินจำเป็น เขายังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาของลูกหลาน ผิดไปจากเพื่อนบ้าน ที่ไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่จึงจบแค่ชั้นประถม ที่จะเรียนต่อถึงมัธยมสามหรือหกนั้นมีไม่กี่คน บางคนไปเรียนแล้วไม่จบ ออกกลางคันก็มี และพ่อแม่ก็ไม่ว่า เห็นดีเสียอีกว่าจะได้แรงงานในการทำสวนทำไร่เพิ่ม
แต่ปู่ของหล่อนไม่อย่างนั้น แนบไม่ยอมให้อะไรมาเป็นอุปสรรคการศึกษาของหลานสาว
ครั้งหนึ่ง แนบได้พูดคุยกับหลานสาวด้วยสีหน้าเอาจริง
“ปู่ให้อะไรแกไม่ได้ นอกจากการศึกษา...พ่อแกก็จบถึงชั้นแปด แล้วยังไปต่อทางเครื่องยนต์กลไก จนได้วุฒิวิชาชีพชั้นสูงจากโรงเรียนการช่างในกรุงเทพฯ กระทั่งได้เจอกับแม่ของแก รักกัน แล้วก็แต่งงานกัน แต่พ่อแม่แกก็บุญน้อยทั้งคู่... แต่ถึงว่าพ่อแกจะไม่มีโอกาสได้สั่งเสีย แต่ปู่ก็รู้ดีว่า เจ้านพอยากให้ลูกได้ร่ำเรียนสูงๆ เพราะสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน...เมื่อก่อนจบแปดก็โก้แล้ว ได้เป็นครูบาอาจารย์ แต่เดี๋ยวนี้ขนาดจบปริญญายังหางานทำลำบาก...ปู่ไม่รู้ว่าจะอยู่กับแกไปอีกนานเท่าไหร่ แกก็ขยันตั้งใจเรียนเข้าละกัน เรื่องเงินเรื่องทองที่ต้องใช้จ่าย ปู่คิดว่าพอมีให้ แต่แกก็จะฟุ่มเฟือยไม่ได้นะ เราไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน ใช้มันเขียมๆ หน่อยก็ละกัน”
นิราอดไม่ได้ที่จะแทรกคำถาม
“ปู่จะเอาเงินมาจากไหนจ๊ะ มาส่งเสียนางให้ได้เรียนในโรงเรียนดีๆ ในจังหวัด แล้วยังค่ากินค่าอยู่ที่ต้องจ่ายป้าผกาแต่ละเดือนอีกล่ะ”
หล่อนหมายถึงช่อผกา ภรรยาของอาจ ปทุมมาศ เพื่อนสมัยเรียนของบิดา มีบ้านอยู่ในตัวเมืองที่ปู่จะให้หล่อนไปพักอาศัยอยู่ด้วยช่วงโรงเรียนเปิดเทอม
“ปู่พอมีเงินเก็บอยู่บ้างหรอก นายจ้างของปู่ ท่านเป็นคนมีน้ำใจ ตอนพ่อแกตาย ท่านก็ช่วยค่าทำศพ แล้วก็มีในส่วนของแม่แก ที่ตายายของแกให้ติดตัวมาเมื่อลูกสาวออกเรือน สิ้นแม่แก ก็ตกเป็นของแก มันก็ไม่มากไม่มายอะไรหรอก ส่วนใหญ่เป็นพวกทองหยอง แต่ปู่ก็ตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่ต้นว่า จะเก็บเอาเป็นทุนรอนให้แกใช้ในการร่ำเรียนหาวิชาความรู้ใส่ตัวให้มากที่สุด... แกจำคำปู่ไว้นะ ยายนาง คนรู้จักใฝ่ดี ขวนขวายหาวิชาความรู้ใส่ตัวเท่านั้นแหละ จึงจะมีอนาคตที่ดีได้... แค่ใฝ่ดีก็ไม่พอ มันต้องมีความรู้ด้วย แต่ถ้ามีวิชาความรู้ แต่กลับปล่อยจิตใจให้มัวเมาลุ่มหลงในทางที่จะทำให้ตัวเองตกต่ำ นั่นก็หาความเจริญไม่ได้อีกเหมือนกัน...จงจำใส่ใจเอาไว้...คนเราจะพบความสุขความเจริญอย่างแท้จริง มันต้องดีตั้งแต่ภายใน คือจิตใจ ความคิด ความอ่าน จนถึงภายนอกที่แสวงหาได้ภายหลัง... คนเลว ไม่ได้เลวเพราะรวยหรือจน... บางคนเลวเพราะสันดานเกิดมาเลว คนพวกนี้ต่อให้รวยล้นฟ้า มีวิชาความรู้สูงส่ง เป็นดอกต้งดอกเตอร์ มันก็ยังเลวจนวันตายอยู่นั่นเอง แต่ก็มีบางคน เลวเพราะทำผิดทำพลาดไปแล้วแต่ไม่พยายามกลับตัวกลับใจ และที่เลวเพราะเลือกไม่ได้นั่นก็ส่วนหนึ่ง พวกหลังนี้น่าสงสาร”
“น่าสงสารยังไงหรือจ๊ะ ปู่”
ปู่ยิ้ม มองหล่อนด้วยสายตาบอกความรักใคร่เอ็นดู เมื่อหล่อนถามออกไปเสียงใสอย่างใคร่รู้
“น่าสงสารซีแก” ปู่ตอบเนิบๆ “ก็คนเลวกลุ่มหลังนี้ เลวเพราะคนอื่น เลวเพราะถูกเขาหลอกถูกเขาลวง แล้วที่ถูกหลอก ก็เพราะไร้สติปัญญาในการคิดตรึกตรอง ใครเขาพูดอะไร หลอกล่อยังไงก็เชื่อเขาหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกไร้การศึกษา ไม่มีวิชาความรู้ เขียนหนังสือแทบไม่เป็นตัว ถึงว่าจะพออ่านออกเขียนได้ ก็ไม่ได้รอบรู้กว้างไกลอย่างคนเรียนสูงๆ มีความฝักใฝ่ในวิชาความรู้อย่างจริงจัง”
นิราชอบที่จะฟังเวลาปู่พูดอะไรยาวๆ เพราะเป็นเวลาที่หล่อนจะได้อยู่ใกล้ชิดปู่มากที่สุด
ปู่เป็นชายร่างผอม ไม่สูงนัก แค่สันทัด แต่ก็แข็งแรงงานหนักงานเบาไม่เคยยั่น
นอกจากความคิดอ่านของปู่จะไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปในละแวกบ้านที่หล่อนอาศัยอยู่กับปู่ ปู่ยังแตกต่างไปจากคนเหล่านั้น ตรงที่ปู่เป็นคนรักสะอาดและเจ้าระเบียบ
ด้วยเหตุนี้ หล่อนจึงใจหาย เมื่อกลับมาถึงบ้านวันแรก หลังมีคนส่งข่าวว่าปู่ไม่สบาย และพบว่าในบ้านหลังน้อยบอกถึงความขาดการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของบ้าน ก่อนจะเกิดความกลัวตามมา เมื่อพบว่าปู่ ซึ่งเป็นคนผอมอยู่แล้ว แทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก นอนแบบอยู่บนฟูกบางๆ บนเตียงเล็ก ปูทับด้วยผ้าสีขาวดูไม่สะอาดสะอ้านเช่นเคย
“ปู่จ๋า...”
หล่อนถลาแล่นเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างฟูกกว้างราวสามฟุต ยาวไม่เกินเจ็ดฟุต น้ำตาไหลพราก
ปู่อายุหกสิบห้า เพิ่งจะย่างหกสิบหกไม่กี่เดือนมานี้เอง แต่สภาพของปู่ที่ปรากฏในม่านตาของหล่อน เหมือนคนชราอายุเก้าสิบ
ได้ยินเสียงหล่อน ปู่จึงค่อยลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นมอง
ดวงตาที่เคยแจ่มใส คมกริบ มีฝ้ามัว และออกจะเลื่อนลอย แต่สักพักก็จุดประกายขึ้น แม้เพียงน้อยนิดหล่อนก็ดีใจเพราะแปลว่าปู่ยังจำหลานสาวคนเดียวในโลกได้
“นิรา”
ปู่เรียกชื่อเต็มของหล่อน ซึ่งปกติไม่เคยเรียก
มือผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ยกขึ้นช้าๆ เมื่อหล่อนก้มกราบ แล้วก็ฟุบหน้าสะอื้นฮักๆ อยู่เช่นนั้น
เมื่อพ่อแม่จากไป หล่อนจำเหตุการณ์ไม่ได้เลย เพราะยังเด็กมาก แต่ความสูญเสียนั้นก็เกาะกินใจหล่อนมาตลอด
หล่อนกลัวความตาย กลัวว่าความตายจะมาพรากญาติสนิทคนเดียวที่หล่อนมีอยู่ไปจากหล่อนอีก
สิ้นปู่แล้วหล่อนจะอยู่กับใคร อยู่ยังไง
หล่อนไม่กลัวเลย หากต้องทำงานหนัก แม้จะยังไม่เคยทำมาก่อน แต่หล่อนกลัวการที่จะอยู่โดยไม่มีปู่
ถึงว่าช่วงที่อยู่เรียนหนังสือในจังหวัด หล่อนจะห่างไกลปู่ แต่สำนึกก็บอกว่าปู่รอหล่อนอยู่ที่บ้าน พอปิดเทอมก็จะได้เจอกัน
แต่ภาพของปู่ที่เห็น...
