4
Chapter 4
พันแสงขับรถกระชากไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไปถึงบริษัทที่พี่ชายพี่สาวของเขาทำงานอยู่ เขาลงจากรถเดินตรงไปที่ลิฟต์ กดไปชั้นที่ต้องการ พอลิฟต์เปิดออกเขาก็เข้าไปด้านใน รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นที่สุด
พอลิฟต์เปิดออกเขาก็ตรงไปห้องทำงานของพี่ชาย พอเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงัก พี่ชายของเขากำลังนั่งทำงาน ส่วนทับทิมนั่งอยู่ข้าง ๆ ส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“อ้าว จะมาก็ไม่โทรมาบอก แล้วที่มานี่มีธุระอะไรกับพี่ไหม?” ตะวันเอ่ยถาม มองน้องชายอย่างงุนงง
“ทับทิม เธอ…”
“อ๋อ ทับทิมรู้จักกันเหรอ มีอะไรหรือเปล่า?”
“เอ่อ เรารู้จักกันค่ะพี่ตะวัน เขาเป็นเพื่อนทิม ทิมขอคุยกับเขาก่อนนะคะ”
“อ๋อ ได้สิ”
“พันจำผู้ชายที่ทิมเคยเล่าให้ฟังตอนอยู่ต่างประเทศได้ไหม คนนี้แหละ” ทับทิมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยิ้มหวาน รอยยิ้มนั้นกลับเป็นเข็มเล่มยาว ทิ่มแทงหัวใจเขา “ทิมชอบเขา ตอนนี้กำลังทำคะแนน”
“เขาเป็นพี่ชายพัน”
“ตายจริง โลกกลมจัง เป็นพี่ชายพันก็ดีสิ ทิมชอบเขา” พันแสงหน้าชามากกว่าเดิม รู้สึกจุกเจ็บที่ใจดวงน้อย เขาอกหักทั้งที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกับเธอเลย “ช่วยทิมด้วยนะ ทิมกำลังจีบพี่ชายพัน”
“…” พันแสงอึ้ง “แล้วพันล่ะทิม”
“พันอะไร?” ทับทิมทำหน้างง
“ทิมก็รู้ว่าพันชอบทิม ที่ผ่านมาพันพยายามแสดงออกมาตลอด แต่ทิม…”
“ทิมไม่ได้ชอบพัน ทิมชอบพี่ตะวัน” เหมือนฟ้าผ่ากลางหัวใจ พันแสงเซเล็กน้อย แล้วหัวใจของชายหนุ่มก็ถูกขย้ำด้วยมือล่องหน บีบมันอย่างแรงจนแตกละเอียด
ผู้หญิงที่เขารักมาตลอดชอบพี่ชายของเขา มันสร้างความเสียใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก เขาเสียใจเป็นที่สุด ที่ต้องมารับรู้อะไรแบบนี้
“อ๋อ เราก็แค่ล้อเล่นน่ะ ทิมอย่าคิดมากนะ” ชายหนุ่มพยายามปรับเสียงให้ราบเรียบที่สุด แม้ความเจ็บปวดจะกัดกินหัวใจราวกับฝูงมดนับล้านรุมทึ้ง พยายามข่มความรู้สึกของตัวเอง ร้อนผ่าวเต็มกระบอกตา
“อืม ขอบคุณที่เข้าใจนะ เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม?”
“ได้สิ เราเป็นเพื่อนกันมาตลอดนิ่ทับทิม”
“อืม” ทับทิมพยักหน้า “ทิมจะได้ทำงานอย่างสบายใจ”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า “ผมกลับก่อนนะพี่” พันแสงหันไปบอกพี่ชาย ที่กำลังง่วนกับเอกสารกองโต
“อืม” ตะวันทำเสียงในลำคอ เงยหน้าให้ยิ้มให้เล็กน้อย แล้วก้มเคลียร์งานกองโต
พันแสงเดินออกมาจากห้องราวกับคนกำลังหมดแรง หัวใจของเขาแตกสลาย อกหักเจ็บปวด ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับทับทิมเลย
฿฿฿฿฿
คลับเอพีคิว
แก้วแล้วแก้วเหล้าที่เขาสาดน้ำเมาลงคอ เขาต้องการดื่มให้เมา ดื่มให้ลืมเรื่องแย่ ๆ มันน่าตลกดีเหลือเกินที่ต้องมาเจอเรื่องเฮงซวยแบบนี้
“แม่งเอ้ย!” เขาใช้มือทุบโต๊ะแรง ๆ แต่คนรอบตัวก็ไม่ได้สนใจเขา เพราะเสียงเพลงในคลับดังมาก ผู้คนมากมายต่างหัวเราะมีความสุข ต่างจากหัวใจของเขาซะเหลือเกิน เจ็บปวดทุกข์ทรมาน เจ็บปวดแทบขาดใจ
“มาดื่มคนเดียวเหรอคะ?” น้ำหวานนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามพันแสง
“ครับ”
“ฉันชื่อน้ำหวานนะคะ ส่วนคุณชื่อพันแสงใช่ไหม?”
“อืม” เขาพยักหน้า
“จำหวานได้ไหม?”
“ใคร?” เขาขมวดคิ้ว แม้ตอนนี้จะไม่เมามาก แต่สมองก็ไม่อยากจะรับรู้อะไรแล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องของทับทิม สมองของเขามันก็ลูปวนแต่เรื่องของเธอ พยายามทำใจลืม แต่ก็ลืมไม่ได้เลย
“เพื่อนสมัยมัธยม”
“….” พันแสงขมวดคิ้ว จ้องมองหน้าอยู่นาน “อ๋อ น้ำหวาน ภัสรา” กว่าจะถึงบางอ้อก็คิดตั้งนาน ที่จริงเธอไม่ได้เป็นเพื่อนที่สนิทอะไร เธอเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นเรียนแค่นั้นเอง
“ใช่ค่ะ” เธอฉีกยิ้มหวาน “ให้เกียรติดื่มกับฉันสักแก้วหน่อยนะคะ” เธอสั่งพนักงานชงเหล้าสูตรพิเศษให้ วันนี้เธอพุ่งตรงเข้าหาพันแสงเลย ถ้าเป็นไปตามแผนแล้วจบลงที่เตียง ถ้าฟลุ๊คแล้วได้เป็นผู้หญิงของเขา นั่นคือสบายไปทั้งชาติ
เขาทั้งหล่อและรวย เป้าหมายของเธอคือผู้ชายรวย ๆ
“ได้สิ” เขาเสียงเรียบรับแก้วเหล้ามาถือ เขามองมันอยู่นาน ก่อนจะกระดกมันรวดเดียวราวกับเป็นน้ำเปล่าไร้รสชาติ “อีกแก้วค่ะ”
“ได้สิ” พันแสงพยักหน้าแล้วรับแก้วเหล้ามาดื่ม น้ำหวานหันไปมองเด็กเสิร์ฟ ทั้งสองมองตากันก็เข้าใจในแผนการ เด็กเสิร์ฟจัดการชงเหล้าสูตรพิเศษให้ โดยเพิ่มเหล้าให้แรงกว่าเดิม แล้วผสมบางอย่างลงไป
“หายไปนานเลย หลังจากเรียนจบ พันไปต่อที่ไหน?”
“พ่อกับแม่ให้ไปเรียนต่อที่สวีเดน เพิ่งจบ กลับมาไทยยังไม่ถึงเดือน”
“อ๋อ แล้วพันมีแฟนหรือยัง?” สิ่งที่น้ำหวานถาม ทำให้พันแสงต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ มีแฟนบ้าอะไร ในเมื่อวันนี้เขาเพิ่งเจอสิ่งที่ทำให้เขาช็อค เจ็บปวดแทบขาดใจ
“ยัง!” เขาหยิบแก้วเหล้าที่เด็กเสิร์ฟยื่นให้ มากระดกรวดเดียว เหล้าแก้วนี้ทำเอาเขาตาลาย มองเห็นภาพซ้อน ทรงกายแทบไม่อยู่ ร่างกายก็ร่านร้อน ความต้องการบางอย่างวิ่งวนในช่องท้อง ก่อนจะมารวมที่กลางกาย
“หล่อขนาดนี้ยังไม่มีแฟน”
“อืม ฉันจะกลับแล้ว”
“เดี๋ยวสิคะ? นั่งคุยกันก่อนค่ะ” น้ำหวานพยายามยื้อสุดกำลัง ถ้าเธอพลาดในวันนี้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้จับคนรวย ๆ แบบพันแสงอีกไหม
“ไม่ได้ ฉันต้องกลับบ้าน” พันแสงแกะมือของน้ำหวานออก เดินเซออกจากคลับ แต่ไม่วายมีน้ำหวานวิ่งตาม
“พันกลับไม่ได้หรอก ไปค้างกับหวานก่อนไหม พอส่างเมาค่อยกลับ” น้ำหวานพยายามยื้อ แต่พันแสงแกะมือของเธอออก
“ไม่ได้ เมาขนาดไหนก็ต้องกลับบ้าน” พันแสงแกะแขนน้ำหวานออก ตอนอยู่สวีเดนจะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าอยู่ไทยเมาต้องกลับบ้าน เขาไม่ได้เกรงใจพอกับแม่ เพราะท่านค่อนข้างตามใจ เขาเกรงใจคุณปู่คุณย่า ท่านทั้งสองค่อนข้างเป็นคนเจ้าระเบียบ ห่วงลูกห่วงหลานเป็นที่สุด ถ้าเกิดเขาไม่กลับ คืนนี้ทั้งคืนย่าเขาคงนอนไม่หลับ
“มีเรื่องอะไรกัน?” การ์ดของคลับเดินตรงมา น้ำหวานจึงยิ้มเจื่อน ๆ ให้
“ไม่มีอะไรค่ะ” น้ำหวานยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับการ์ดรักษาความปลอดภัย พอหันมาหาพันแสงเขาก็ขับรถออกไปแล้ว “โธ่เว้ย!” เธอสบถออกมาอย่างหงุดหงิด แล้วหันไปมองหน้าการ์ดอย่างไม่พอใจ เพราะไอ้การ์ดหน้าปลาหมอนี่คนเดียวเลย ทำให้เธอพลาดโอกาสทอง
รถหรูขับกระชากไปจอดที่โรงจอดรถ พันแสงลงจากรถในสภาพเมามาย พอเปิดประตูลงจากรถก็กลิ้งไปนอนกับพื้น ร่างกายของเขาร่านร้อนมากกว่าเดิม มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุข
“พี่พัน” ชบาแก้วเดินมาปิดประตูหน้าต่างตึกใหญ่เพราะท้องฟ้ามืดครึ้ม ทำให้เห็นพันแสงลงจากรถในสภาพเมามาย
“ทิมใช่ไหม? ทำไมใจร้าย ทำไมใจร้าย”
“ลุงเอกคะ ช่วยชบายกพี่พันไปนอนที” ชบาเอ่ยเรียกลุงเอกที่เดินออกมาหน้าบ้าน
“โอ้ย สภาพ ลุงนึกว่าถังเหล้า” ลุงเอกบ่นอุบพลางหิ้วปีกพันแสง แต่เขาก็ทำตัวปวกเปียกซะเหลือเกิน “หนูชบา หิ้วปีกคนล่ะข้าง อ่อนปวกเปียกแบบนี้ ลุงพาไปไม่ถึงห้องแน่”
“ค่ะคุณลุง” ชบาแก้วว่าแล้วหิ้วปีกพันแสงเดินขึ้นข้างบน
“โอ๊ย หนัก” ลุงเอกกับชบาแก้วพาพันแสงขึ้นห้องอย่างทุลักทุเล พอไปถึงเตียงทั้งสองก็วางชายหนุ่มลงบนเตียงอย่างแรง “แฮ่ก ๆ หนักฉิบหาย”
“เกือบไม่รอดแล้วลุงเอก”
“ไป ๆ แยกย้าย ห้องใครห้องมัน!”
“ค่ะ” ชบาแก้วพยักหน้าแล้วเดินตามลุงเอกออกไปจากห้อง
