บทที่ 2 คำพูดแย่ ๆ
หลังจากมาถึงไร่ส้ม เดือนฉายก็ได้รับงานที่มอบหมายจากภูเมฆ ซึ่งเขาไม่สนใจเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำสั่งของตัวเอง นอกจากอยากสั่งสอนคนปากดีเช่นเธอ เดือนฉายเองไม่มีสิทธิ์โต้แย้งยอมทำตามอย่างว่าง่าย
งานที่เขาให้เธอทำคือเก็บเกี่ยวผลส้มท่ามกลางแสงแดดจ้า หญิงสาวทำอย่างตั้งใจไม่ปริปากบ่นสักคำ
“ฉาย”
“อ้าวพี่หมอก” เสียงเรียกของคนมาใหม่เรียกความสนใจจากคนตัวเล็กหันมอง เธอส่งยิ้มให้แก่สายหมอกหรือผู้จัดการไร่ ที่มีศักดิ์เป็นเพื่อนสนิทภูเมฆ
“โดนไอ้เมฆใช้งานอีกแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดขึ้นเหมือนล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเดือนฉาย
“...” หญิงสาวไม่ได้ตอบโต้ ทำได้แค่มองเขาแวบหนึ่งก่อนเก็บผลส้มต่อ
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้นะครับ”
“ค่ะ” เงยหน้ามองเขาอีกครั้ง จังหวะเดียวกันนัยน์ตาคู่งามเหลือบเห็นใครคนหนึ่งกำลังก้าวเดินมาทางนี้ด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าไอ้เมฆกำลังมาทางนี้ใช่ไหม”
“มาทำอะไรตรงนี้” ไม่ทันที่คนตัวเล็กจะเอ่ยปากตอบคำถามผู้จัดการไร่ เสียงทุ้มของใครอีกคนแทรกขึ้น ก่อนตบบ่าบึกบึนของสายหมอกเบา ๆ ทว่าสายตาดันจับจ้องมองเดือนฉายอย่างคาดโทษ
“กูแค่แวะมาคุยกับน้องฉาย”
“มึงไม่มีงานทำเหรอ” ปากกำลังต่อว่าสายหมอก แต่สายตาจ้องเขม็งหญิงสาวอย่างต้องการจับผิด
“มี!!”
“แล้วมึงมาวุ่นวายกับเมียกูทำไม”
“มึงรู้ด้วยเหรอ ฉายเป็นเมียมึง”
“ไอ้หมอก...” ก่อนเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้ เดือนฉายเดินมาขวางหน้าพ่อเลี้ยงหนุ่มที่ทำท่าจะกระชากคอเสื้อสายหมอก
“พี่เมฆมาหาฉาย มีธุระอะไรจะพูดหรือเปล่าคะ”
“ตามฉันมานี่” ไม่พูดเปล่า ฝ่ามือหยาบกร้านคว้าข้อมือเล็กและจ้องเธอด้วยแววตาขุ่นเคือง “ส่วนมึงกลับไปทำงานได้แล้ว”
“ทำตัวเป็นหมาหวงก้างไปได้” ว่าพลางทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างของภูเมฆ เขาส่ายหัวไปมาช้า ๆ กับพฤติกรรมเพื่อนสนิท
“พี่เมฆคะ เดินช้า ๆ หน่อยสิ ฉายตามไม่ทันแล้ว” คนตัวเล็กเอ่ยประท้วงอีกคนเอาแต่ก้าวยาว ๆ ไม่สนใจเธอแม้แต่น้อยจะตามทันหรือไม่
“...” ไม่มีเสียงตอบกลับจากพ่อเลี้ยงหนุ่ม นอกจากสายตาดุดันจ้องเขม็งหญิงสาวปานจะกินเลือดกินเนื้อ เดือนฉายทำได้แค่สงบปากสงบคำพร้อมเดินตามหลังเขาไปยังสถานที่หนึ่งเงียบ ๆ
“โอ๊ย!” ร่างเล็กถูกเหวี่ยงไปยังโซฟา หลังมาถึงห้องทำงาน
“เจ็บนะคะ”
“เฮอะ!!” ยกยิ้มมุมปากดั่งคนร้ายกาจ
“ฉายทำอะไรผิดคะ” คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากัน
“นี่เธอไม่รู้จริง ๆ เหรอ” คำถามคนตรงหน้าทำเขาโมโหยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ค่ะ” ส่ายหัวไปมาช้า ๆ เธอทำอะไรผิดล่ะ ก่อนหน้านี้ก็ทำงานตามคำสั่งอยู่ดี ๆ จู่ ๆ เขานั่นแหละเป็นฝ่ายเข้ามาหาและพามาที่นี่ โดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ
“เดือนฉาย!!” มือหนาจับท่อนแขนเล็กแน่น จนเธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ “ฉันไม่ชอบที่เธอคุยกับไอ้หมอก”
“หึงเหรอ”
“เฮอะ!! นี่คิดก่อนพูดแล้วใช่ไหม ฉันแค่สงสารไอ้หมอกหรอกไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้หญิงร้ายกาจแบบเธอ”
“ค่ะ” ตอบรับสั้น ๆ เหนื่อยจะโต้เถียงกับเขา
“ค่ะ คืออะไรของเธอ” ท่าทางเมินเฉยและคำพูดของเธอทำเอาเขาเดือด
“ก็แล้วแต่พี่เมฆจะว่าเลย ฉายทำอะไรก็ผิดไปหมดอยู่แล้วนี่คะ” แหงนมองหน้าหล่อเหลา
“รู้ตัวก็ดี” ภูเมฆยอมปล่อยเดือนฉายเป็นอิสระ จากนั้นย่างกรายกลับไปโต๊ะทำงาน ทิ้งเธอไว้บริเวณโซฟาหรูกลางห้อง
“เอาแต่ใจที่สุด” เสียงหวานพึมพำขณะเหลือบมองคนตัวโตวุ่นวายกับกองเอกสาร
เวลาล่วงผ่านไปเกือบชั่วโมง เดือนฉายยังคงนั่งเบื่อหน่ายในห้องทำงาน ซึ่งชายหนุ่มไม่มีท่าทีจะปล่อยไปง่ายดาย กระทั่งหญิงสาวทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นทำลายบรรยากาศความเงียบ
“พี่เมฆคะ จะให้ฉายอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไร”
“อืม” เอ่ยตอบขณะสายตายังคงจ้องมองจอคอมพิวเตอร์สลับมองเอกสาร
“พี่เมฆคะ”
“มีอะไร” เนื่องจากเดือนฉายไม่พูดต่อ แถมยังเงียบไปหลายนาที เลยถามขึ้นพลางละสายตาจากงาน ก่อนเห็นเธอมายืนตรงหน้าเขา
“ฉายอยากเปิดคาเฟ่”
“แล้วไง”
“เอ่อ คือฉายอยากเปิดในไร่ส้มของพี่เมฆ แล้วก็อยากจะยืมเงินพี่เมฆสักก้อน พอได้กำไรฉายจะรีบคืนเงินให้ทันที” หลังพูดจบ ยืนคอยฟังคำตอบด้วยใจรอลุ้น
“คุณหนูอย่างเธอจะทำอะไรเป็น คงได้เจ๊งไม่เป็นท่านะสิ”
ถ้อยคำจากคนตัวโตทำเอาหน้างดงามซีดเผือด คาดไม่ถึงเขาจะเอ่ยออกมาตรง ๆ แบบนี้ ทั้งที่เป็นสิ่งที่เธอใช้เวลาคิดมานานและกว่าจะรวบรวมความกล้าพูดได้ กลับโดนปฏิเสธแบบไม่ไยดีเพียงไม่กี่ประโยค
เมื่อก่อนเธออาจจะเป็นคุณหนูอย่างที่เขาพูดจริง ทว่านับจากครอบครัวล้มละลายและสูญเสียบุพการีตอนอายุสิบแปดปี มิหนำซ้ำยังต้องมาอยู่ไร่ส้มของเพื่อนพ่อ นั่นก็คือบิดาของภูเมฆ ชีวิตของเธอก็พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก็ปรับตัวได้ดีและเข้าใจสถานะของตัวเองเสมอมา
“พี่เมฆไม่เคยเชื่อมั่นในตัวฉายเลย” เอ่ยบอกอย่างน้อยใจ
เธอแค่อยากให้เขาคนนี้ยอมรับในความสามารถกันบ้างสักครั้ง เหมือนที่เคยให้โอกาสกับใครหลายคน เขามักจะใจดีกับคนอื่น ๆ ทว่ากลับไม่ใช่กับเธอ
“อย่ามาพูดจาไร้สาระแถวนี้ เดือนฉาย” เอ่ยบอกอย่างไม่สบอารมณ์
“พี่เมฆ”
“กลับไปนั่งเดือนฉาย อย่าสร้างความรำคาญให้ฉันไปมากกว่านี้”
“พี่เมฆ ขอร้องละ...”
“ไปให้พ้น!!” กายแกร่งตบมือลงบนโต๊ะพลางยันกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง วินาทีถัดมาตะคอกใส่หน้าคนตัวเล็ก จนเธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“เรื่องเดียวที่ฉายทำผิดกับพี่เมฆ คือการที่ฉายยอมรับว่ารักพี่เมฆต่อหน้าคุณลุง จนเราต้องมาแต่งงานกันแบบนี้” เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่งไหลต่อหน้าคนใจร้าย
ถ้าหากตอนนั้นไม่เผลอหลุดปากบอกความในใจ ให้บิดาของภูเมฆที่ป่วยได้ล่วงรู้ก็คงไม่ต้องแต่งงานกันหรอก แถมเธอยังถูกเขากล่าวหาว่าเป็นคนทำลายความรักของเขา จนแฟนเขาหนีไป
“เธอจะรื้อฟื้นอีกทำไม” เพราะมันยิ่งทำให้เจ็บปวดกับเหตุการณ์ในอดีต
“พี่เมฆ...เราหย่ากันเถอะ” ประโยคเปล่งมาจากริมฝีปากอวบอิ่ม ส่งผลให้ภายในห้องเงียบสงบราวกับรอบกายหยุดเคลื่อนไหว
เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการรักผู้ชายคนนี้ เขาไม่เคยไยดีและใส่ใจสักนิด ที่ผ่านมามีแต่ความเจ็บปวดและทุกข์ใจ แต่ที่ยังทนอยู่เพราะเป็นคำสั่งเสียของบิดาภูเมฆ ทว่าตอนนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป อยากหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้สักที
“หย่างั้นเหรอ” คนตัวโตเดินไปประชันหน้ากับเธอ เอื้อมมือหนาบีบท่อนแขนขาวเนียนแรงอย่างไร้ความปรานี
“หย่ากันเถอะ” เบือนหน้าไปทางอื่นเนื่องจากเธอน้ำตาคลอ เมื่อต้องพูดประโยคนั้นออกไป
“ฝันไปเถอะ เดือนฉาย” เขาออกแรงผลักคนตัวเล็กล้มลงกระแทกพื้นห้อง จ้องมองด้วยแววตาเย็นชา “อย่าหวังว่าเธอจะหนีไปมีความสุขคนเดียว เธอต้องทนรับกรรมในสิ่งที่ตัวเองก่อ”
“ฮึก ฮือ ๆ ฉายไม่อยากรักพี่เมฆแล้ว ฉายเจ็บเหลือเกิน” ในที่สุดเดือนฉายทนไม่ไหวต่อความใจร้ายของคนตัวโต ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อับอาย
“ฉันเคยขอให้เธอมารักเหรอ” ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าใกล้คนบนพื้น ฝ่ามือใหญ่บีบปลายคางมน จ้องหน้าหวานเปื้อนคราบน้ำตา โดยไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น “อย่าคิดว่าน้ำตาแค่นี้ของเธอจะทำให้ฉันใจอ่อน”
“ฉายเกลียดพี่เมฆ” เธอพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ดี!! หลังจากนี้ก็อยู่กันแบบเกลียด ๆ นี่แหละ” สะบัดมือหนาออกจากปลายคางกลมกลึง
“ไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว อย่าทำให้ฉันหงุดหงิดไปมากกว่านี้”
