บทที่ 1 ภรรยาที่เขาไม่ได้รัก
เสียงรถเคลื่อนตัวจอดหน้าบ้านทำให้หญิงสาวรูปร่างอรชร ที่วุ่นวายกับการปรุงอาหารในห้องครัวรีบเอื้อมมือปิดเตาแก๊ส จากนั้นวิ่งไปหาใครคนหนึ่งด้วยอาการดีใจบริเวณหน้าบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอคะ พี่เมฆ” ว่าแล้ว ส่งยิ้มหวานให้แก่ชายหนุ่ม
“มีตาไม่ใช่เหรอ ไม่น่าถาม” เอ่ยพูดเสียงเย็นทำเอาคนฟังถึงกับจุกอกทีเดียว ถึงกระนั้นก็ยังแสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
“พี่เมฆหิวไหมคะ”
“เดือนฉาย...” ช้อนตามองเธอซึ่งไม่ต้องเปล่งประโยคใดมากมาย หญิงสาวรับรู้ได้ทันทีอีกคนกำลังจะสื่อถึงอะไร
“งั้นฉายไปเตรียมอาหารให้นะคะ” คนตัวเล็กกำลังจะหมุนตัวก้าวเดินไปข้างในเป็นอันหยุดชะงักกับเสียงทุ้ม
“ไม่ต้อง ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำก่อน”
“อ๋อค่ะ”
“ทำไมฉันต้องมาแต่งงานกับคนอย่างเธอด้วยวะ” พึมพำอย่างหัวเสียก่อนเดินจากไป ทิ้งคนตัวเล็กเจ็บจี๊ดกับถ้อยคำนั้นที่ยังคงดังก้องใบหูขาวสะอาดคอยตอกย้ำความรู้สึกผิดได้เป็นอย่างดี
“ขอโทษ” ชำเลืองมองแผ่นหลังกว้างของภูเมฆหรือพ่อเลี้ยงหนุ่มเจ้าของไร่ส้มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ไม่แปลกใจเลยเขาจะรังเกียจผู้หญิงอย่างเธอ เพราะเธอเป็นต้นเหตุทำลายความรักของเขา
ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก เธอกับเขาแต่งงานกันจะเข้าปีที่สองแล้ว ทว่ายังไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิด เขายังคงเกลียดเธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“คุณฉาย”
“คะ” เสียงเรียกของแม่บ้านวัยกลางคนดังขึ้นทำเอาเธอสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ปรายตามองบุคคลมาใหม่ด้วยสีหน้างุนงง
“จะให้ป้าจัดโต๊ะเลยไหม”
“ป้าบัวไปพักเถอะ ที่เหลือฉายจัดการเอง”
“ค่ะ”
พ้นร่างป้าบัวไม่กี่นาที เดือนฉายยกเท้าเข้าไปในห้องครัว ก่อนจะทำอาหารที่ยังค้างคาต่อให้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นนำไปยกขึ้นโต๊ะซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันภูเมฆเข้ามาในห้องอาหารพอดี
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
“เสร็จแล้วค่ะ พี่เมฆจะกินข้าวเลยไหม”
“ถามมาได้ ฉันเดินมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็จะกินนะสิ!!” บอกอย่างไม่สบอารมณ์ ฝ่ามือหยาบกร้านลากเก้าอี้พร้อมนั่งลง “ตักข้าวสิ”
“ค่ะ” เธอไม่ตอบโต้เขามากนักกลัวจะทะเลาะกันเปล่า ๆ ไม่รอช้าทำตามคำสั่งของอีกคน
“เธอนี่มันน่าเบื่อชะมัด ทำอะไรก็ชักช้า”
คนกำลังจะตักข้าวใส่จานพ่อเลี้ยงหนุ่มเป็นอันหยุดชะงัก นัยน์ตาคู่หวานเหลือบมองใบหน้าคมคาย
“พูดดี ๆ กับฉายบ้างไม่ได้เลยเหรอคะ” หลายครั้งแล้วที่เธอต้องทนฟังถ้อยคำแย่ ๆ จากเขา นับจากแต่งงานกันมาเกือบจะสองปี
“ทำไมฉันต้องพูดดี ๆ กับคนอย่างเธอด้วย ใครสั่งให้เธอแต่งงานกับฉันเองล่ะ”
“ถ้าเป็นผู้หญิงคนนั้น พี่เมฆจะไม่พูดแบบนี้เลยใช่ไหม”
“แน่นอนสิ” ภูเมฆเงยหน้ามองคนตัวเล็กอย่างท้าทาย ยักไหล่ใส่อย่างไม่แยแสกับความรู้สึกของเธอ
“เชิญกินข้าวคนเดียวไปเลย หรือจะไปเรียกผู้หญิงคนนั้นมากินด้วยก็ได้” เดือนฉายวางทัพพีลงในโถข้าว จากไปทันใดด้วยความหัวเสีย ระหว่างเธอกับเขาพูดดีไม่ถึงนาทีเป็นอันทะเลาะกันตลอด ซึ่งเธอเริ่มจะชินแล้วแหละ
“เดือนฉายกลับมานี่ก่อน”
หญิงสาวไม่สนใจเสียงเรียกของคนตัวโต ยังคงเร่งฝีเท้าเดินไปห้องนอน
ทันทีที่มาถึงจุดหมายปลายทาง เธอล้มตัวลงนอนบนเตียงหนานุ่ม มือเรียวกำผ้าปูเตียงแน่นและพยายามข่มน้ำตาไม่ให้ไหลรินประจานความโง่เขลา
“พี่เมฆคนนิสัยไม่ดี สักวันพี่จะเสียใจที่ทำแบบนี้กับฉาย”เพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย
“เดือนฉาย”
“อื้อ” ดวงตากลมโตลืมขึ้นชักช้า วินาทีถัดมาปะทะกับกายแกร่งของภูเมฆ
“พี่เมฆ” มือบางยันบนเตียงเพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มแหงนมองคนตัวโตตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยอาการงัวเงีย
“หนีมานอนนี่เอง”
“พี่เมฆมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อย่าลืมเปลี่ยนผ้าปูด้วยล่ะ”
“พูดแบบนี้หมายความว่าไงคะ” เอื้อมมือจับท่อนแขนของอีกคนซึ่งหลังพูดจบทำท่าจะก้าวเดินออกจากห้อง
“สกปรกไง” มองคนตัวเล็กด้วยแววตาเหยียดหยาม
“พี่เมฆ” ถ้อยคำของเขา ทำเอาเดือนฉายรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ก่อนเผลอปล่อยมือจากท่อนแขนแกร่ง
“เธอรู้อะไรไหมเดือนฉาย สิ่งที่แย่ที่สุดในชีวิตของฉันคือการแต่งงานกับผู้หญิงอย่างเธอนี่แหละ”
“พี่เมฆ!! มันจะมากเกินไปแล้วนะคะ”
“แค่นี้มันยังน้อยไปสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ ที่เป็นตัวต้นเหตุทำลายความรักของฉัน”
“สักวันพี่เมฆจะเสียใจที่เคยพูดไม่ดีกับฉาย”
“ไม่มีวันนั้นหรอก!!” เน้นเสียงหนักด้วยความเชื่อมั่นว่าคนอย่างเขาจะไม่มีทางอ่อนข้อให้เธอเด็ดขาด
“แล้วฉายจะรอดู ถึงตอนนั้นเมื่อไรต่อให้พี่เมฆคุกเข่าอ้อนวอนฉายทั้งน้ำตา ฉายจะไม่ยกโทษให้พี่เด็ดขาด”
“งั้นเหรอ” ส่งยิ้มเยาะเย้ยให้แก่เธอ เขามั่นใจอย่างแน่นอนจะไม่มีทางเป็นอย่างที่เธอพูด
“ไปให้พ้นหน้าฉายเลย คืนนี้ไม่ต้องมานอนที่นี่เลย” หญิงสาวทนไม่ไหวอีกต่อไปกับท่าทางน่าหมั่นไส้ของภูเมฆ จึงหยิบหมอนใบใหญ่ปาใส่เขาอย่างจัง จนอีกคนยอมจากไปง่าย ๆ
“จะมีสักครั้งไหมพี่เมฆจะรักฉาย” มือบางยกขึ้นกุมใบหน้าและถอนหายใจยืดยาว เธอเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ยังคงรักเขา ทั้งที่เขาทำให้เจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“วันหนึ่งถ้าฉายทนไม่ไหว ฉายจะไปจากพี่เมฆเอง” ร่างเล็กเอนกายนอนลงบนที่นอนอีกครั้ง จ้องมองเพดานห้องสีขาวล้วนอย่างครุ่นคิด กระทั่งไม่นานความง่วงบวกกับความเหนื่อย ทำให้เธอเข้าสู่ห้วงนิทราอีกหน
เช้าวันต่อมา เธอตื่นสายกว่าปกติ กว่าจะลงมารับประทานอาหารก็เกือบจะแปดโมง ขณะกำลังจะตรงไปห้องอาหารบังเอิญปะทะกับภูเมฆ ทว่าเธอทำเป็นมองไม่เห็นอีกคนก่อนเลี่ยงไปอีกทาง
“นี่” ไม่พูดเปล่า พ่อเลี้ยงหนุ่มคว้าท่อนแขนเล็กอย่างรวดเร็วเพื่อรั้งไม่ให้เธอไปจากกัน
“มีอะไรคะ”
“ไม่เห็นฉันเหรอ”
“เห็นค่ะ”
“แล้ว”
“คะ” ถามเสียงสูงพลางเลิกคิ้วโก่งสวยขึ้นอย่างรอคอยว่าอีกคนจะเปล่งประโยคใด
“ช่างเหอะ!! เธอนี่มันน่ารำคาญชะมัด” สะบัดแขนเล็กออกจากมือหนาอย่างแรง ทำเอาเดือนฉายเจ็บไม่น้อย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉายขอตัว” อยู่ไปก็ทะเลาะกันเปล่า ๆ จึงขอเป็นฝ่ายไปเองดีกว่า
“ฉันอนุญาตให้เธอไปแล้วเหรอ”
“พี่เมฆมีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอเดาอารมณ์ของเขาไม่ถูกเลย สรุปจะเอายังไงกันแน่
“กินข้าวเสร็จก็รีบตามไปที่ไร่ด้วย วันนี้ฉันมีงานให้ทำ”
“ค่ะ” พยักหน้าหงึก ๆ อย่างเข้าใจในถ้อยคำนั้น
“น่าเบื่อชะมัด” จ้องมองคนตัวเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าพร้อมกับพึมพำอย่างหงุดหงิด ก่อนหมุนตัวเตรียมจะจากไป
“พี่เมฆจะไปแล้วเหรอ รอฉายด้วยสิคะ” เดือนฉายรีบถามขึ้นทันทีที่เห็นอีกคนนำหน้าไปก่อน โดยไม่คอยกัน
“เธอก็ไปเองสิ”
“แล้วฉายจะไปยังไงคะ ที่บ้านมีรถของพี่เมฆแค่คันเดียวเองนะคะ” ตะโกนไล่หลังคนตัวโต
“เดินไปเองสิ เก่งนักไม่ใช่เหรอ”
“แต่มันไกลนะคะ”
“...” ไม่มีเสียงตอบกลับจากพ่อเลี้ยงหนุ่ม ภูเมฆก้าวยาว ๆ จากไปจนลับหาย ทิ้งหญิงสาวไว้เพียงลำพังบริเวณนั้น
“ไอ้พี่เมฆคนนิสัยเสีย” ทำได้แค่บ่นอุบอิบ ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“คุณฉายครับ” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นกะทันหันเรียกความสนใจจากหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง
“อ้าวคุณนาวิน มีธุระอะไรหรือเปล่า” ส่งยิ้มแก่บุคคลมาใหม่
“พ่อเลี้ยงให้ผมมารับคุณฉายครับ”
“อ๋อค่ะ” คำตอบนาวินลูกน้องคนสนิทของภูเมฆ ส่งผลให้เดือนฉายรู้สึกดีขึ้นระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อยภูเมฆไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นให้เธอเดินไปไร่ที่ค่อนข้างไกล
“คุณฉายจะไปเลยไหมครับ”
“ค่ะ ไปเลยก็ได้”
เดิมทีตั้งใจจะกินข้าวเช้าก่อนไป แต่ไม่อยากให้ภูเมฆรอนาน ยิ่งเขาเป็นพวกชอบจับผิดอยู่ด้วย ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตามมักจะโดนตำหนิอยู่เรื่อย ๆ
