บทที่ 4
เออนะ ท่าทางเขาคงจะเมาจริงๆ นั่นล่ะ เขาถึงได้สามารถพูดจาอะไรออกมาได้มากมาย
ขนาดนี้ ออกจะมากไปในความหวานแห่งมธุรสวาจาของเขาด้วยซ้ำไป แต่ถึงอย่างนั้น มันก็อดที่จะทำให้หัวใจของเธอพองโตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เหมือนกัน
"ค่ำแล้วนะ ดาวเต็มฟ้าเลยคืนนี้ บางที...อาจเป็นเพราะความมืดก็ได้มั้ง ที่ทำให้คุณเพ้อเจ้อได้ขนาดนี้
พรุ่งนี้ที่ฟ้าสว่าง ถ้าคุณสามารถจำคำพูดที่พูดไว้กับฉันในคืนนี้ได้ เราคงได้พบกัน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ขับรถกลับบ้านโดยสวัสดิภาพนะคะ
“ฉันจะรอแสงตะวันแรกที่ส่องสว่างในวันพรุ่งนี้”
เป็นอีกครั้งหนึ่งแล้วสินะ ที่สาวน้อยตรงหน้าพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา แน่ล่ะ มันเป็นถ้อยคำที่มีความหมาย และเขาเชื่อว่า เขาจดจำได้ทั้งหมด เช่นเดียวกับคำพูดของเขาที่ตระเตรียมมาเพื่อพูดกับเธอ แม้ว่าจะมีดีกรีของแอลกอฮอล์เพื่อย่อมใจอยู่บ้างก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด
พรุ่งนี้ ทันทีที่เธอลืมตาตื่นขึ้นพบแสงตะวันแรก แน่ล่ะ เธอจะได้พบกับเขาเช่นเดียวกัน พร้อมด้วยคำพูดประโยคเดิม ๆ ที่เขามั่นใจว่า เขาไม่มีวันลืมมัน
ถ้าเพียงเนื้อที่ว่างในหัวใจของคุณยังเหลืออยู่บ้างขอให้ผมได้เป็นคนใหม่ในหัวใจของคุณได้มั้ย เจนิส !
เฮ้อ..ก็ไม่ได้เมาเสียหน่อย แล้วทำไมเขาจะจำไม่ได้ล่ะว่า เขาพูดอะไรกับเธอไว้บ้างในค่ำคืนนี้ ค่ำคืนที่กลิ่นหอมของความรักครั้งใหม่ในหัวใจของเขา เหมือนว่าจะเริ่มต้นออกเดินทางอีกครั้ง..
ครั้งนี้..เขาจะเก็บมันไว้ในหัวใจตลอดไป...
คงเป็นความใฝ่ฝันของบรรดาสาวๆ ทุกคนละมั้งนะใครๆ ก็อยากมีใครสักคนมารัก หรือได้รักใครสักคนด้วยกันทั้งนั้น..โดยเฉพาะปวริศ ชายหนุ่มผู้ไม่เคยขาดรัก ปมด้อยในชีวิตครอบครัว ทำให้เขาโหยหาความรักมาตลอดชีวิต ไม่ว่ามันจะจบลงสักกี่ครั้ง เขาก็พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนเสมอ ยิ่งกว่าคาสโนวาตัวพ่อ ก็นายปวริศนี่ล่ะ !
หากไม่อาจล่วงรู้ได้ เจนิกาเองก็เช่นเดียวกัน แม้เป็นเพียงการแอบมอง คอยสอดส่องดูพฤติกรรมของ
ชายหนุ่มที่มาแวะพักทักทายที่บ้านสาวอื่นข้างๆ บ้านเธอก็ตามทีเถอะ หากนั่น...ก็ทำให้เธอสุขใจมากพอยู่แล้ว แต่ใครจะคาดคิด..วันหนึ่ง..คนที่เธอเฝ้าแอบมองจะเป็นฝ่ายเดินมาหาเธอเองแบบนี้
"ยิ้มอะไรเจนิส..แม่ว่า พักนี้เราแปลกๆ ไปนะ"
"โหย..แปลกอะไรกันคะแม่ เจก็เหมือนเดิมแหละ ก็เนี่ย..ออกไปตากผ้าให้แม่เรียบร้อยแล้ว จะยิ้มยินดีปรีดาบ้าง ไม่ได้เชียวเหรอแม่"
"ไอ้ยิ้มน่ะมันยิ้มได้..แต่ยิ้มแบบนี้ มันพิลึก"
แม่ยังยืนยันขันแข็งเช่นนั้น หากก็ไม่ได้ชักไชร้อะไรต่อ นอกจากก้มหน้ากัมตาอ่านหนังสือพิมพ์ในมือต่อไป มีเพียงลูกสาวของนางเท่านั้น ที่ฉวยเอากระเป๋าสะพายมาพาดป่า เตรียมพร้อมออกไปทำงางานอีกวัน แต่ดูเหมือนวันนี้ แม้ทุกอย่างดูปกติ แต่สีเสื้อผ้าก็ทำให้ดูแปลกตาไปบ้างเหมือนกัน จนถึงกับมองลอดแว่น และอาการถูกจับผิดก็ทำเอาเธอแอบเสียจริตไปได้จนถึงที่ทำงานเลยทีเดียว
…
"ว้าว ๆ ๆ วันนี้เพื่อนเราอารมณ์ไหนเนี่ย สีสันเสื้อผ้าสดใสดีจัง"
โอ..แม่เจ้า แค่สีของเสื้อผ้า ยังจะมาเฝ้าสังเกตการณ์กันอีกนะ เจนิกาก็ว่าวันนี้ เธอทำตัวราบเรียบปกติแล้วนี่นะ จะจับผิดอะไรกันนักหนา
"สดใส เนี่ยนะ คุณแจ่มเพื่อนรัก ฉันก็แต่งแบบบนี้ออกบ่อย"
"บ่อยที่ไหน หลังๆ ฉันเห็นเธอใส่แต่สีตุ่น ๆ ทีมๆ ยังกะคนแก่"
ถึงตอนนี้ คนที่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ไม่ใช่เพื่อนสาวตรงหน้า แต่กลับกลาย เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่คุ้นเคย และบังเอิญก้าวเข้ามาได้ยินพอดี และนั่นเองที่ทำที่
เจนิกาชักฉุน นี่ใจคอจะไม่เลิกไม่รากันเลยรึไงนะ
"ไม่ต้องมาหัวเราะเลยพี่ศรัณย์ ถ้าไม่อย่างนั้นนะ..ก็ไม่ต้องแวะไปขอกาแฟที่บ้านเค้ากินอีกเลย แค่นี้นะ"
คนบอกแค่นี้นะ ขยับตัวไปทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะทำงาน ขณะที่ชายหนุ่มอย่างศรัณย์หยุดหัวเราะลงฉับพลันทันใดแต่ก็ไม่รอช้าที่จะก้าวเดินไปหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะของหญิงสาวพร้อมกับยื่นกล่องขนมเก๋ไก๋ให้เหมือนเคย
