บทย่อ
ปวริศ หนุ่มหล่อสะกดใจ เสน่ห์ของเขาทำให้เจนิกาหวั่นไหว สาวน้อยเฝ้าแอบมองชายหนุ่มขับรถผ่านหน้าบ้านของเธอ เวลาเขาไปหานางแบบสาวอย่าง เมทิตา อยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน แม้เคยล่วงรู้ความจริงในชีวิตเขาก่อนหน้านี้ที่เกือบฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้ามาแล้ว หากเหตุการณ์พลิกผัน เมื่อวันหนึ่งเขาหมดความหมายต่อเมทิตา ปวริศแทบเป็นบ้า ทว่าช่วงเวลานั้น..เขามีเพียงเจนิกาเป็นเพื่อนปอบใจ แต่แล้วเมทิตาไม่ยอมให้เขามีความสุข ใส่ร้ายเจนิกาจนเขาขุ่นเคือง เขาลักพาตัวเจนิกาไปที่บ้านดินกลางหุบเขาที่เขาสร้างเอาไว้ ถึงจะถูกเขาทำให้เจ็บช้ำแค่ไหน แต่หัวใจของเธอกลับถูกร้อยรัดไว้ด้วย ตรวนรักสึกุหลาบ
บทที่ 1
รถคันนั้นแล่นผ่านมาตรงเวลาเป๊ะ...
มันเป็นเวลาเดียวกับทุกวันที่เจนิสเคยเห็น จนบางครั้งก็ให้รู้สึกอิจฉาอยู่เหมือนกัน ที่ใครบางคนมีคนมาคอยรับคอยส่งแบบนี้ แต่บางที ก็เกิดความภาคภูมิใจเล็กๆ แทนสาวน้อยคนนั้น คนที่มีความสวยเป็นสิ่งตึงดูดใจหนุ่มๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว สำหรับโลกเราทุกวันนี้ ของสวยๆ งามๆ ใครบ้างจะไม่ชอบ
"เจนิส มองอะไรอยู่นั่นน่ะ แม่บอกให้เอาผ้าไปตากตั้งนานสองนานแล้วนะ"
"ค่ะแม่ จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ"
เจนิสรับคำสั่งของแม่ก่อนละสายตาจากภาพของท้ายรถที่แล่นไปลิบๆ เห็นเพียงฝันที่โรยตัวซบผืนดินอยู่เบื้องหน้านั่น หากขณะที่เธอกำลังตากผ้าอยู่ที่ราวข้างบ้าน เหตุการณ์ไม่คาดฝันมันก็เกิดขึ้นจนได้กับเจ้าของรถคันเดิมที่เธอเฝ้ามองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น แต่คราวนี้ มันเกิดขึ้นขณะที่แม่สาวน้อยหน้าแฉล้มที่เจนิสรู้มาว่าเธอเป็นนางแบบวัยรุ่นสุดฮอดคนหนึ่งของวงการที่ไต่เต้าจากการเป็นดาวสถาบันมาก่อนนั่งเคียงคู่มากับเขาด้วย เป็นตุ๊กตาหน้ารถขนานแท้ทีเดียวฃ
เอี๊ยด...ด...
เสียงรถเบรกกะทันทันจนล้อฟรีเชียวล่ะ เจนิสเชื่อว่าแม่เองก็คงได้ยินเสียงเหมือนกัน เพราะเพียงเธอเงยหน้าขึ้นมอง แม่ก็แทบจะโผล่หน้าออกมาจากประตูบ้านนั่นด้วย
"เสียงรถอะไรน่ะเจ รถชนกันรึเปล่า"
"รถยนต์ไม่ชนกันหรอกแม่ แต่ไม่รู้รถไฟชนกันรึเปล่ามากกว่า”
เจนิสพูดติดตลก เพราะจำได้ว่าก่อนหน้าที่รถเก๋งคันเก่งที่เธอจำได้แม่นยำคันนั้น จะแล่นผ่านหน้าบ้านไป ก็มีรถอีกคันหนึ่งที่นานครั้งจะได้เห็น ล่วงหน้าเข้ามาก่อนแล้ว เช่นเดียวกัน แน่ล่ะ ที่หมายคงไม่ต้องพูดถึงว่ามันเป็นบ้านหลังไหน
"ไหนคุณบอกเลิกกับมันไปแล้วไง แล้วนี่อะไร"
เสียงนั้นแม้จะอยู่ไกล แต่อย่างน้อย มันก็ใกล้พอที่จะได้ยินสำหรับเธอนั่นแหละ เพราะตอนนี้เจนิสอยู่ที่ขอบรั้วและสายตาก็เฝ้ามองไปที่ภาพของสองหนุ่มสาวนั่นด้วยความอิดหนาระอาใจแทน แน่ล่ะ เธอไม่คิดหรอกว่าไอ้อานุภาพของความรักมันจะสร้างและทำลายอะไรได้ในพริบตาแบบนี้
เกิดมาก็ไม่เคยมีรักกับใครเขานี่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีหัวใจหรอกนะ อาจมีแอบมองผ่านหน้าต่างบ้าง ในบางครั้งที่รถคันนั้นแล่นผ่าน แต่ก็เท่านั้นเอง ไม่เคยมีความรู้สึกชาบซึ้งอะไรมากไปกว่านั้นเสียหน่อย ยิ่งกับเพื่อนชายร่วมสถาบันด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไอ้อาการหัาวออกนอกหน้าของเธอน่ะ ไม่ได้เป็นแรงดึงดูดใจเพื่อนหนุ่มคนไหนเลยสักกะคนเดียวจริงๆ
"จริงๆ แล้ว คุณต่างหากที่คิดอะไรในแง่ร้ายเกินไป คนเราเลิกคบกันแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องตัดญาติขาดความเป็นเพื่อนกันไปเลย ไม่ใช่เหรอปาว คุณก็รู้ ฉันยังต้องร่วมงานกับเขา แล้วการที่คุณใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลแบบนี้ คิดว่าทำถูกแล้วรึไง ถ้าไม่ไว้ใจกัน ก็เลิกคบกันเถอะ !
ประโยคท้ายนั่นเกือบจะเป็นเสียงตะโกน และแน่นอน..คนที่เงี่ยหูฟังอย่างเจนิส แทบจะเบิกตากว้างในเวลานั้น ร้ายไปกว่าก็คืออยากเข้าไปอยู่ใกลักว่านั้นด้วยซ้ำ อยากเห็นจริงๆว่าเวลานี้ พ่อหนุ่มหน้ามนคนมีเสน่ห์ในตัว เองอย่างเขาน่ะ ตกอยู่ในอาการโคกันแน่ ดีใจ เสียใจ หรือว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรใดๆ เลย
“ได้เลย ถ้าคุณต้องการแบบนั้น มันคงไม่ยากเกินไปนักหรอก นั่นไง เขาย้อนกลับมารับคุณแล้ว เชิญเลย.."
ถึงตอนนี้เจนิส แทบไม่รู้แล้วล่ะว่าเขาพูดอะไรกับแม่นางแบบสาวสวยรวยเสน่ห์นั่นอีก เพราะเสียงรถอีกคันหนึ่งที่ปราดเข้ามาจอดแถมไม่ดับเครื่องมันดังกลบเสียงนั้นจนหมด หากสิ่งที่ไม่ได้ยิน กลับกลายเป็นสิ่งที่ได้เห็นก็ประจักษ์อยู่ในสายตาของเธออยู่ดี เพราะคนที่ถูกทอดทิ้งให้เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย กลับกลายเป็นพ่อหนุ่มคนที่เธอเฝ้ามองนั่นเอง แย่จริง !
"เจ อะไรกัน ป่านนี้ยังตากผ้าไม่เสร็จอีก มัวโอ้เอ้อยู่นั่นแหละ"
"จ๋า จ้ะแม่ เสร็จเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ"

