บทที่ 2
เสียงเรียกของแม่ปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ได้ดีจริงๆ ขณะที่จำต้องละสายตาจากคนที่ยืนหันหลังพิงรถตัวเองอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นั่น โดยหันมาสนใจกับความรับผิดชอบของหัวเองรวดเร็วและแน่นอน เพียงพริบตาเดียวเธอก็จัดการจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไม่ลืมที่จะหันไปตะโกนบอกแม่ให้ คลายกังวลในเวลาต่อมานั่นด้วย
"เจตากผ้าเรียบร้อยแล้วนะแม่ เดี๋ยวเจนิสมานะ ขอปั่นจักรยานไปซื้อของที่ปากซอยแวบหนึ่ง แวบเดียวจริงๆ จ้ะแม่"
แทบไม่ต้องรอเสียงตอบรับใดๆ จากแม่หรอก เพราะเวลานั้น เธอได้ฉวยจักรยานคันเก่งปั่นออกไปนอกรั้วบ้านแล้ว แน่ล่ะ เธอจงใจอย่างยิ่งที่จะไปลอบมองฝ่ายนั้นใกล้ๆ ไม่รู้สิน่า ว่าป่านนี้กลายเป็นผู้ชายใจเสาะไปแล้วหรือเปล่า ถึงได้ยืนหันหลังพิงเสาไฟต้นใหญ่ แล้วถอนหายใจเฮือกๆ ขนาดนั้น
"อ้าวคุณ คิดจะมาปล้นสะดมภ์อะไรแถวนี้รึไงน่ะ หรือว่า..คุณจะคิดสั้น ปืนเสาไฟฟ้าประชดรัก อยู่ตรงนี้"
กล้าๆ หน่อย เป็นคำที่เธอเฝ้าย้ำอยู่ในใจหลายครั้งก่อนจะตัดสินใจปั่นจักรยานลงจากขอบถนนไปจอดนิ่งอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มที่เธอคุ้นหน้าแต่ไม่คุ้นชื่อหรือแม้แต่รู้จักมักจี่เป็นการส่วนตัวสักนิดนั่น ขณะที่ฝ่ายนั้นหันมามองเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ส่อแววฉงนเล็กน้อย และเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นจริงๆ เพราะ...
"นี่มันชีวิตผม และขอโทษ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน"
อ้อ ! จะด่าว่าเธอเผือก ก็บอกกันตรงๆ ไม่มีใครว่าหรอกนะ เพราะเธอก็อยากเผือกเสียจริง
"แต่ก็สามารถรู้จักกันได้ไม่ใช่เหรอ บ้านฉันอยู่นั่นไง"
เจนิสชี้นิ้วไปทางบ้านตัวเองที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
"สีฟ้าๆ หลังนั้นแหละ ฉันเห็นคุณขับรถผ่านหน้าบ้านฉันทุกวัน ท่าทางอารมณ์ดีทุกวัน จนฉันพลอยมีความสุขไปด้วย"
"แล้วไง"
ถึงเวลานี้ ชายหนุ่มนัยน์ตาคมคนนั้นดีดตัวออกมาห่างจากเสาไฟ แต่ท่าทางก็ยังยียวนกวนประสาทไม่ต่างกันสักนิด แน่ล่ะ เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกทำลายบรรยากาศดีๆ กับเวลาที่หมดไปกับความคิดของตัวเองนั่น
"ฉันรู้สึกเหมือนว่าคุณเป็นเพื่อนของฉัน วันนี้ เพื่อนฉันมีความทุกข์ ไม่ยักกะแสนสุขเหมือนทุกๆวัน ฉันเลยอยากเข้ามาทักทายเท่านั้นเอง"
"แปลกดีนะ คนเรามักชอบเข้ามาทักทายกันในวันที่มีอารมณ์สดใส แต่คุณนี่แหละ เห็นผมมีความทุกข์ แล้วเข้ามาทักทาย ไม่คิดบ้างเหรอว่า คุณจะต้องกลายเป็นกระโดนท้องพระโรง”
คราวนี้ เจนิสเป็นฝ่ายหัวเราะบ้างเช่นเดียวกัน มันเป็นการหัวเราะประมาณสมเพชเวทนา ด้วยตัวเองมากกว่าจะหัวเราะเยาะเขาเพราะ...
"คุณใช้คำเชยชะมัดเลยนะ กระโถนท้องพระโรง"
เจนิสย้ำแล้วก็หัวเราะอีก
"บังเอิญ ฉันชอบที่จะอยู่เบื้องหลังความสุขของคนอื่น ยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น แต่ถ้าใครสักคน
รู้สึกทุกข์ และโดดเดี่ยว ฉันก็อยากเข้ามาเป็นเพื่อน ก็เท่านั้นเอง มันไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น"
เขาเลิกคิ้วสูงในคราวนี้ ดวงตาคู่นั้นบอกความสดใสขึ้นมาแวบหนึ่ง และแน่นอน มันเป็นแวบเดียว วินาทีเดียวจริงๆ ก่อนหยุดหัวเราะ สุ้มเสียงออกจะสมเพชตัวเองมาก
"คุณนี่จริงๆ เลยนะ ร้ายกาจมากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก คุณชื่ออะไรน่ะ ผมปวริศ แต่คุณเรียกผมว่าปาวก็ได้"
"ฉันชื่อเจนิกา แม่เรียกฉันว่าเจนิส แต่เพื่อนฉัน ชอบเรียกเจเฉยๆ บางคนก็ชอบเรียกว่ากา"
ท่าทางเธอจะรวยอารมณ์ขันเอาการเชียวล่ะในสายตาของเขา เพราะเธอหยุดหัวเราะอีกแล้ว หากเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
"เพราะ ฉันตัวดำเหมือนกามั้ง"
"แต่จิตใจคุณงดงามก็เพียงพอแล้วล่ะ"
"คุณเพิ่งเจอฉันเองนะ ด่วนสรุปแล้วหรือว่าฉันงดงาม นี่จะบอกอะไรให้ ถ้าคุณชอบด่วนสรุปอะไรง่ายๆ แบบนี้ คุณก็คงต้องพบกับความผิดหวังเรื่อยไปนั่นล่ะ ขอโทษนะ นี่ไม่เป็นการสั่งสอนอะไรเลย เพราะฉันคิดว่า ยังไงซะคุณก็คงอายุมากกว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างฉันแน่ ๆ ฉันมั่นใจค่อนข้างสูง ว่าคนแก่โลกอย่างคุณ น่าจะมีความคิดอะไรที่ยาวไกลกว่านี้ ฉันไปล่ะ เดี๋ยวแม่จะรอ"
