บทที่ 2 ช่วยเลี้ยงหนูไว้เถอะนะคะคุณหมอ
ซู๊ด! ซู๊ด!
เสียงการสูดเส้นบะหมี่ดังยาวต่อเนื่อง ปากเล็กนั้นเคี้ยวตุ้ยๆ แก้มแดงระเรื่อป่องเพราะอาหารเต็มปาก เธอฉีกยิ้มจนตาหยีเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าหมอลิปกำลังจ้องมองเธอกินด้วยใบหน้าสุดทน
“อร่อย...จัง แฮะๆ”
“...”
“นี่เป็นบะหมี่ที่อร่อยที่สุดในโลกเลย...รู้ไหมคะว่าทำไม?” เธอเลิกคิ้วถามคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“...”
“เพราะมันเป็นบะหมี่มื้อแรกที่หนูได้กินกับคุณหมอไง...”
“...”
บ้าไปแล้ว...หมอลิปดาคิดอยู่ในใจของตัวเองว่าเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ยอมตกลงพายัยเด็กหน้ามึนคนนี้มากินบะหมี่
“หนูน่ะ...ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ว่ายังไงหนูจะต้องตอบแทนคุณหมอให้ได้” เด็กสาวเอ่ยบอกก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน ซึ่งบะหมี่ชามนั้นเป็นชามที่สามเข้าไปแล้ว โดยที่เธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคุณหมอนั้นไม่ได้คิดจะรอการตอบแทนจากเธอและเขาก็กำลังจะทิ้งเธอไว้ที่ร้านบะหมี่ข้างอีกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ปัก!
เงินแบงก์พันถูกกระแทกวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่ร่างสูงจะหยัดยืนขึ้น เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องนั่งมองเธอกินอีกต่อไป ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน แทนที่เขาจะได้กลับบ้านไปพัก แต่ที่ไหนได้...กลับต้องมานั่งมองเด็กกินจุคนนี้กินบะหมี่
หมั่บ!
“จะไปไหนคะ?” และเมื่อเห็นว่าคุณหมอกำลังจะเดินออกไป จริงใจก็รีบวางตะเกียบแล้วคว้ามือหนาไว้แน่น
“ฉันทำตามที่เธอต้องการแล้ว เงินก็วางไว้ให้ เงินทอนนั่น...เอาไว้จ่ายค่ารถ กลับบ้านไปซะ” เขาเอ่ยตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าเธอ บิดมือหนาออกจากมือเล็ก แล้วเดินออกไปจากตรงนั้น
หมอลิปดาสาวเท้ายาวด้วยความเร็ว รีบขึ้นไปนั่งบนรถยุโรปคันหรู สตาร์ทรถเข้าเกียร์เตรียมตัวชิ่งหนีเด็กหน้ามึนเต็มที่ แต่แล้วเขาก็ได้เห็นร่างเล็กนั้นวิ่งจู่โจมเข้าที่ที่ประตูข้างคนขับ
ตุบ! ตุบ!
“คุณหมอ! อย่าไปนะคะ! พาหนูไปด้วยนะคะ!” เขาได้ยินเสียงร้องบอกของเธออย่างชัดเจน แต่มีหรือที่จอมเย็นชาอย่างเขาจะสนใจ
หมอลิปดาเหยียบคันเร่ง ออกรถขับเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างไม่ช้าและไม่เร็วนัก โดยที่ยัยเด็กจริงใจวิ่งเกาะประตูรถมาด้วย
“ยัยเด็กบ้า!” คุณหมอหนุ่มสบถออกมาด้วยความรำคาญใจ ก่อนที่เขาจะเหยียบคันเร่งให้แรงขึ้น
ตุบ! ตุบ!
“ฮึก! คุณหมอ! อย่าทิ้งหนูไปนะคะ! หนูไม่มีใครแล้วนอกจากคุณหมอ!” และแม้ว่าจะวิ่งให้เร็วยังไง เธอก็ไม่อาจจะเร็วไปกว่ารถยนต์ได้ จริงใจเริ่มจะวิ่งไม่ทัน เธอใช้มือเกาะประตูรถไว้แน่น ขาและเท้าเล็กลากไปกับพื้นถนน ก่อนที่...
พลั่ก!
จนแล้วจนรอดเด็กสาวไม่เหลือแรงที่จะยึดตัวเองไว้กับรถ เธอร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น ผู้คนรอบข้างลุกฮือขึ้นมา เสียงโวยวายดังขึ้น
“เห้ย! เขาขับรถชนเด็ก!”
“ว๊าาาย! มีคนชนแล้วหนี!”
“แจ้งตำรวจเร็ว! จำทะเบียนรถไว้! คนสมัยนี้...ชนแล้วหนีกันหน้าด้านๆ”
เอี๊ยยยด!
แล้วรถของหมอลิปดาก็หยุดจอดอย่างกะทันหัน เมื่อเขามองผ่านกระจกมองข้างแล้วเห็นว่าชาวบ้านชาวเมืองกำลังวิ่งเข้าไปล้อมวงใส่เด็กสาว
“เวรเอ๊ย!” เขาสบถออกมาอีกครั้ง...ก่อนจะลงจากรถ เดินไปหยุดตรงวงล้อมนั้น
“นี่คุณ...ขับรถชนเด็กน่ะ พาน้องเขาไปหาหมอเถอะ! ดูสิ มีเลือดออกที่แขนกับหัวเข่าด้วย!” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหมอลิปดาเดินเข้ามา
“เหมือนน้องเขาจะสลบเลยอ่ะ! หรือหัวกระแทกพื้น...นี่มีรอยแผลเก่าด้วย โถ่ น่าสงสารจัง” ใครอีกคนก็พูดย้ำให้หมอลิปดารู้สึกผิด
“หลบหน่อยครับ พวกคุณมุงกันแบบนี้ เขาจะขาดอากาศหายใจ...ผมเป็นหมอ เดี๋ยวผมจัดการเอง” หมอลิปดาว่าพลางแหวกฝูงชนเข้าไปช้อนตัวร่างบางที่นอนสลบอยู่ที่พื้นขึ้นมาอุ้ม จากนั้นก็พาเธอไปวางลงที่เบาะข้างคนขับในรถ แล้วออกมาจากตรงนั้น...
ภายในรถเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ หมอลิปดาขับรถด้วยความเร็วสูง ส่วนที่จริงใจที่สลบอยู่นั้น...พอรู้สึกได้ว่าเขากำลังพาเธอไปไหนสักที เธอก็อมยิ้มออกมา ที่จริง...เธอมีแผลเล็กน้อยจากการหกล้ม แต่เธอไม่ได้สลบ...แค่แกล้งหลับเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณหมอ...ในมือเล็กนั้นก็ยังกำเงินทอนค่าบะหมี่ไว้แน่น
แล้วรถคันหรูก็วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง จริงใจอยากจะลืมตาขึ้นดูจนแทบไม่ไหว แต่ติดตรงเธอต้องแกล้งสลบ เธอเพียงได้ยินเสียงคุณหมอลงไปจากรถ
“ลงมา!” แล้วเสียงของคุณหมอก็ดังขึ้น หลังจากที่ประตูรถฝั่งข้างคนขับเปิดออก
“...” จริงใจเม้มปากแน่น หลับตาปี๋
“บอกให้ลงมาไง!!!” เขาตะคอกเสียงดังกว่าเดิมและดูเหมือนว่ากำลังโมโหไม่น้อย
“...”
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้สลบ! มือยังกำเงินแน่นขนาดนั้น...! ใครเชื่อก็บ้าแล้ว!” สิ้นคำคุณหมอ เด็กสาวก็รีบปล่อยเงินให้ร่วงลงบนตัวอย่างรวดเร็ว
“หึ! เธอคิดว่าฉันบื้อหรือไง! เลิกปั่นประสาทฉันแล้วลงมาจากรถซะ!!!”
“...” แม้กระนั้น เด็กดื้อก็ยังคงนิ่ง
“อ๊ะ!”
คุณหมอหนุ่มเลยจัดให้...เขากระชากแขนเล็กนั้นลงจากรถมาอย่างรุนแรง จนเด็กสาวตกใจ เบิกตาโพลง ลงมายืนที่นอกรถ ก่อนที่จะได้เห็นว่าที่ที่เขาพาเธอมานั้นก็คือ...สถานีตำรวจ!
“คะ...คุณหมอพาหนูมาที่นี่ทำไมคะ?” เด็กสาวนิ่วหน้าถาม เตรียมจะร้องไห้ออกมา เพราะเหมือนจะรู้ว่าคุณหมอลิปดาจะพาเธอมาทิ้งไว้ที่นี่
“เจอโจรก็ต้องส่งให้ตำรวจสิ...เธอมันมิจฉาชีพชัดๆ คิดจะหลอกว่าให้ทุกคนเชื่อว่าฉันขับรถชนเพื่อเอาเงินใช่ไหม?! เก็บมุกตื้นๆ แบบนี้ไปหลอกคนอื่นเถอะ!”
“ฮึก! หนูไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ! หนูล้มลงไปจริงๆ แล้วก็ไม่ได้บอกใครด้วยว่าคุณหมอขับรถชนหนู...” จริงใจก้มหน้างุดด้วยความกลัว
“แล้วเธอแกล้งสลบทำไม! ไหนบอกว่าถ้าฉันเลี้ยงข้าวแล้วเธอจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับฉันไง?!”
“เพราะ...ฮึก! เพราะหนูคิดว่าถ้าหนูสลบไป คุณหมอก็จะพาหนูกลับบ้าน แล้วคุณหมอก็จะเลี้ยงหนูไว้เพราะหนูน่าสงสาร ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีที่ไป...ตอนแรกหนูก็ว่าถ้ากินอิ่มก็จะไม่มายุ่งกับคุณหมออีก...แต่เพราะออกจากโรงพยาบาลแล้ว และหนูไม่ก็มีที่นอน...คนเดียวที่หนูรู้จักบนโลกนี้ ก็เหลือแค่คุณหมอจริงๆ” แววตาใสซื่อบ่งบอกว่าเธอพูดความจริง
“...” หมอลิปดานิ่งไป ลมร้อนถูกถอนออกมาด้วยความครุ่นคิด...เขาจะเอายังไงกับเด็กบ้าคนนี้ดี...
“ฮึก! ช่วยเลี้ยงหนูไว้เถอะนะคะ หนูสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี หนูจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้คุณหมอ หนูจะให้ความรักคุณหมอ...คุณหมอต้องการอะไรหนูจะให้ทุกอย่าง...หนูมีชีวิตได้อีกครั้งก็เพราะคุณหมอช่วยเอาไว้...เพราะอย่างนั้น...ช่วยหนูอีกสักครั้งเถอะนะคะ...” เด็กสาวยกมือไหว้ทั้งน้ำตา
“จะบ้าหรือไง?! เธอจะมาให้ความรักกับฉันทำไม?!” หมอลิปดาจ้องหน้าคนร้องไห้ตาเขม็ง
“เพราะหนูดูออก...ฮึก! ตรงนี้มันแห้งแล้ง...” มือเล็กจิ้มลงตรงกลางแผงอกของร่างสูง ทำเอาเขางงไม่น้อย
“คุณหมอต้องการให้ใครสักคนมารัก...และหนูจะเป็นคนนั้นเอง...หนูจะรักและซื่อสัตย์กับคุณหมอเพียงคนเดียว...”
“...” คำพูดและแววตาใสซื่อของเธอทำเอาคุณหมอหนุ่มถึงกับไปไม่เป็น
“แลกกับข้าวสามมื้อแล้วก็ที่นอนก็พอค่ะ...นะคะคุณหมอ...”
“เหอะ! นี่เธอจะให้ความรักฉันเพื่อแลกกับข้าวสามมื้อแค่นั้นน่ะเหรอ? คิดว่าฉันจะเชื่อหรือไง?! เดี๋ยวมันก็ต้องมีอย่างอื่นตามมา...เสื้อผ้า เครื่องเพชร รถ บ้าน เงิน... ความต้องการจะงอกขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” เขาแสยะยิ้ม...ให้ตายยังไงก็ไม่เชื่อว่าเด็กสาวตรงหน้าจะต้องการแค่ข้าวกับที่นอน
“ทำไมหนูต้องการอยากได้ของพวกนั้นด้วย แค่กินอิ่ม นอนหลับ ไม่ต้องหนาวเวลาที่ฝนตก แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับหนูแล้ว...เลี้ยงหนูไว้เถอะนะคะ คุณหมอคงรวยจนมีทุกอย่างหมดแล้ว ขาดอย่างเดียวก็คือความรัก หนูจะให้คุณหมอเอง”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันต้องการความรัก?” หมอลิปดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“หนูแค่รู้สึก...แค่รู้สึกได้...”
