บทย่อ
ลิปดา ถึงคราวตกที่นั่งลำบาก เพราะความมึนอันแสนใสซื่อที่ของ จริงใจ เด็กสาวที่เขาเคยรักษา เธอบอกกับเขาว่าจะยกเขาเป็นผู้มีพระคุณหนึ่งเดียว จะใช้ความรักตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตเธอ ขอเพียงเขารับเลี้ยงเธอ ...ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการ... ...ถึงแม้จะผลักไสไล่ส่ง ทั้งด่า ทั้งทิ้งขว้าง และเกลียดเธอแค่ไหน...แต่พอได้เห็นแววตาใส่ซื่่อนั้นหม่นหมอง...หัวใจที่ด้านชามันกลับเจ็บปวดขึ้นมา ...สุดท้าย สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงการรับเลี้ยงเธอเอาไว้อย่างจำยอม... แต่การเลี้ยงเด็กมันไม่ง่ายเลย ยิ่งเด็กคนนี้นั้นช่างซื่อจนบื้อ แถมยังซนและกินเก่ง พอโดนดุก็อ้อนเสียจนขาไปไม่เป็น แล้วแบบนี้เขาจะทำใจแข็งอยู่ได้ยังไง จากที่คิดว่าคงรักใครไม่ได้อีก...บางทีเขาอาจจะไม่รู้ตัวว่าหัวใจของเขาได้หลอมละลายให้กับเธอจนไม่อาจถอนตัวขึ้นอีกแล้ว
บทที่ 1 คุณหมอเป็นผู้มีพระคุณของหนู
“แกๆ วันนี้หมอลิปเซตผมด้วยอ่ะหล่อระทวยเวอร์...”
น้ำเสียงแสนตื่นเต้นตามด้วยท่าทีกระดี๊กระด๊าเหล่านักศึกษาแพทย์หญิงทำเอาคนที่ได้ยินต้องหันไปมองตามว่าหมอลิปดาที่ถูกพูดถึงนั้นเดินอยู่ตรงไหน แม้จะชินเพราะได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่มันก็อดที่จะหลอมละลายไปกับความเพอร์เฟคทุกกระเบียดนิ้วนั้นไม่ได้...เพียงร่างสูงในชุดกาวน์ที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันอย่างการราวน์วอร์ด ตรวจผู้ป่วยนั้นก็สามารถทำให้โลกที่หม่นหมองของหญิงสาวเหล่านั้นเป็นสีชมพูขึ้นมาได้...
นพ.ลิปดา มธุราเมธี หรือก็คือหมอลิป แพทย์ประจำบ้านที่กำลังศึกษาต่อเฉพาะทางโรคหัวใจ นอกจากใบหน้าที่หล่อระเบิดกับความสูงร้อยแปดสิบห้าเซนต์ที่นายแบบยังต้องยอมแพ้ สมัยที่เป็นนักศึกษาแพทย์เขายังถูกจัดให้อยู่ในวรรณะเทพ ที่เป็นชนชั้นของหัวกะทิในรุ่น ยังไม่รวมถึงความมีอันจะกินนั้นอีก...ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา หมอลิปดาคนนี้...เขาคือลมหายใจสุดท้ายที่ยังโสดสนิทเพียงคนเดียวของโรงพยาบาลเวชชลธี
“หมอลิป...ยังมีเคสน้องที่กระโดดตึกอีกนะคะ” พยาบาลสาวที่เดินตามหลังหมอลิปดาในช่วงเวลาที่ราวน์วอร์ดเอ่ยขึ้น
“เคสนี้ผมสั่งยาแล้วให้กลับบ้านได้แล้วนี่ครับ” เพียงเขาปลายสายตาไปยังคู่สนทนา หัวใจดวงน้อยของพยาบาลสาวก็เต้นแรงขึ้นมาในทันที
“ค่ะ...แต่น้องเขาขอเจอตัวหมอลิปค่ะ”
“ผู้ปกครองของเขามาหรือยังครับ? หรือมีญาติมารับหรือยัง?” คุณหมอคนหล่อเอือมระอากับเคสเด็กใจแตกคนนี้เต็มทน...
“ยังเลยค่ะ น้องเขายืนยันว่าไม่มีใครที่รู้จักอีกแล้ว”
“งั้นก็ประสานกับฝ่ายบัญชีแล้วก็ฝ่ายกฎหมายไปเลยครับ ผมรักษาเขาจบแล้ว เขาหายดีแล้วครับ”
“แต่...”
“ตามนั้นนะครับ” หมอลิปตัดบท ยื่นชาร์ทสั่งยาของผู้ป่วยรายอื่นกลับคืน ก่อนที่จะเดินออกไปจากวอร์ดในทันที
นอกจากเวลาว่างแล้วในยามที่ต้องการพักหรือต้องการหลบหนีจากสายตาของผู้คน หมอลิปจะขึ้นมาที่ดาดฟ้าของตึกผู้ป่วยใน มองออกไปที่ท้องฟ้ากว้าง ถอนหายใจลากยาวออกมา ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ แน่นอนว่าถึงหมอจะรู้ว่าบุหรี่เป็นอันตรายต่อร่างกายยังไง แต่เมื่อไหร่ที่เครียดหรือเหนื่อย...บุหรี่นี่แหละตัวช่วยเหลือชั้นดี
“อยู่นี่เอง...” เสียงหวานใสดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางในชุดกาวน์จะเดินเข้ามาหยุดยืนที่ด้านข้างหมอลิป เธอคือหมอเฌอร์ จิตแพทย์สาวอนาคตไกล เพื่อนร่วมรุ่นของหมอลิปดา
“มีอะไร?”
“แค่จะมาเล่าว่าเมื่อวันก่อนฉันได้คุยกับจริงใจแล้วนะ...เด็กที่ตกจากชั้นสองน่ะ” ขณะที่เอ่ยบอกหมอเฌอร์ก็แอบชำเลือง สังเกตท่าทีของหมอลิปไปด้วย แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากเขาแม้แต่น้อย
“เอามาสูบบ้าง” มือบางยื่นไปขอบุหรี่จากร่างสูงเพราะต้องการให้เขาสนใจสิ่งเธอกำลังจะพูด
“ไม่ให้” แต่เขากลับปฏิเสธ
“ยืนดมควันจากนายฉันก็ขาดทุนน่ะสิ ไม่ได้สูบแต่ก็เสี่ยงจะตายเพราะมะเร็งปอด” หมอเฌอร์เบะปากประชด
“ก็รีบพูดมาแล้วก็ไปซะ” ในยามที่เว้นว่างจากงานหรืออยู่นอกเขตโรงพยาบาล หมอลิปคือผู้ชายเย็นชาที่พูดน้อยดีๆ นี่เอง เขาแตกต่างจากความเป็นเทพบุตรที่หญิงสาวคาดฝันไว้มาก
“นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ เอาเป็นว่า...จริงใจน่ะ ไม่ได้โกหกหรอก เด็กคนนั้นไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติที่ไหนจริงๆ เธอน่าสงสารนะ จิตใจอ่อนแอมากเพราะต้องเสียทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน เลยคิดว่าไม่อยากจะอยู่ต่อไปอีกแล้ว...นายน่าจะช่วยคุยกับฝ่ายบัญชีเรื่องค่ารักษาให้เธอ” หมอเฌอร์พูดถึงที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นเคสกระโดดตึก...แต่ที่จริงเด็กสาวแค่ตกลงมาจากระเบียงบ้านก็เท่านั้น
“เกี่ยวอะไรกับฉัน? เป็นหมอนะ ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ ที่จริงแทนที่จะมารักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ฉันว่ายัยเด็กบ้านั่นควรไปรักษาอาการทางจิตกับเธอมากกว่า”
“หมอ...นายเป็นหมอนะไอ้เพื่อนบ้า! ทำไมพูดถึงคนไข้แบบนั้น?”
“ก็เพราะว่าเป็นหมอไง ฉันถึงรู้ว่าชีวิตมีค่าแค่ไหน เราทุกคนที่นี่พยายามทำทุกอย่างทุกทางเพื่อยื้อชีวิตหนึ่งเอาไว้ แต่ยัยเด็กแก่แดดนั่นกลับต้องการที่จะตายทั้งๆ ที่เกิดมาได้แค่ไม่กี่ปี”
“นี่นายเกลียดคนไข้ตัวเองอย่างฝังจิตฝังใจขนาดนั้นเลยเหรอ?” หมอเฌอร์นิ่วหน้าถาม อย่างไม่อยากจะเข้าใจ
“อืม...เกลียด”
“แต่น้องเขาดูชอบนายมากเลยนะ ที่ไม่ยอมออกจากโรงพยาบาลก็เพราะว่ารอนายไม่ใช่หรือไง?”
“หึ! เธอจะไปสนใจอะไรกับเด็กใจแตก?” หมอลิปแสยะยิ้มเบื่อหน่ายออกมา
“ถามจริงเถอะ...นี่นายเป็นหมอหรือเป็นซาตานกันแน่วะ? ฉันไปดีกว่า! เบื่อพวกจิตใจด้านชา!” ว่าแล้วหมอเฌอร์ก็เดินสะบัดก้นน่ารักออกไปจากตรงนั้นทันที ส่วนหมอลิปก็ทำไม่สนใจโลก เหมือนอย่างที่เขาชอบทำอยู่เป็นประจำ
พอหมดเวลาทำงานหมอลิปก็รีบถอดเสื้อกาวน์พาดไว้หลังพนักเก้าอี้ทำงาน ก่อนจะคว้ามือถือและกุญแจรถเตรียมตัวที่จะกลับบ้านทันที ร่างสูงเดินผ่านผู้คนลงมาที่ชั้นหนึ่งที่ซึ่งเป็นล็อบบี้ของตึกผู้ป่วยใน ทุกสายตายังคงมองเขา แม้ในยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาจะมีความเหนื่อยล้า แต่มันก็ไม่สามารถบดบังเสน่ห์อันมากล้นของเขาได้เลย
“กลับแล้วเหรอคะหมอลิป?” เสียงพยาบาลที่เดินสวนทางมาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม
“ครับ” ทว่าเขาตอบกลับเพียงสั้นๆ ก้าวเท้ายาวเดินผ่านไปอย่างไม่มีเยื่อใยใดๆ
พอคุณหมอคนหล่อเดินออกมายังที่จอดรถประจำของเขา พื้นคอนกรีตยังคงเปียกเพราะมีฝนตกก่อนหน้านี้ ลมก็หอบเอากลิ่นฝนเข้ามาปะทะใบหน้า หมอลิปจะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ฝนตกอีกครั้ง เพราะมันทำให้เขาคิดถึง...ใครบางคนที่อยู่แสนไกล
ขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูรถยุโรปคันหรูของตัวเอง เงาเล็กก็ก่อตัวพาดเข้ามาทาบทับแสงสว่างตรงนั้น เรียกร้องให้หมอหนุ่มหันไปมอง
“คุณหมอ...” เสียงเล็กอันอิดโรยเอ่ยเรียกเขา หมอลิปตกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำของเด็กสาว
“ออกไป อย่ามาขวางทาง” หมอลิปทำเสียงแข็ง เตรียมจะเปิดประตูรถ แต่แล้ว...
หมั่บ!
มือเล็กแสนมอมแมมคว้าหมับลงที่หลังมือของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เรียวปากเล็กของเธอจะฉีกยิ้มอย่างชอบใจ
“มือของคุณหมออุ่นจังเลย”
“ปล่อย!” หมอลิปสะบัดมือเล็กออกอย่างแรง และถึงแม้ว่าเขาจะทำใจร้ายมองหน้าเธอราวกับว่าเธอเป็นสิ่งสกปรกที่ตกอยู่บนพื้น แต่เด็กสาวก็ยังยิ้มออกมา
“คุณหมอเป็นคนที่ช่วยชีวิตหนูเอาไว้ ทำไมหนูรออยู่ทั้งวัน คุณหมอถึงไม่ยอมมาคะ? รู้ไหมว่าหนูคิดถึง...” เด็กสาวที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสาคนนี้คงบ้าไปแล้ว ถึงได้พูดคำว่าคิดถึงออกมาอย่างง่ายดาย
“ฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องไปหาเธอนี่! รักษาเธอจบแล้วก็จบ” หมอลิปหรี่ตามองเด็กสาวอย่างไม่เข้าใจ คำว่าคิดถึงของเธอปั่นประสาทเขาได้ไม่น้อย
“ไม่จบค่ะ คุณหมอเป็นผู้มีพระคุณของหนู ถ้าไม่มีคุณหมอ...ป่านนี้หนูคงตายไปแล้ว” เด็กสาวเบะปากทำท่าจะร้องไห้
“ฉันแค่ตรวจร่างกายเธอ แค่เอกซเรย์ตรวจว่ามีตรงไหนแตกหักหรือเปล่า แล้วพยาบาลก็เป็นคนที่แผลที่ถลอกพวกนั้นให้” หมอลิปชี้ไปยังหัวเข่าและโหนกแก้มที่แปะผ้าทำแผลเอาไว้
“เธอไม่ได้ใกล้จะตาย ฉันไม่ได้ทำอะไรที่เข้าใกล้คำว่าช่วยชีวิตเธอเลย แต่ถ้าเธอคิดจะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึกอีกครั้งละก็...ชั้นแนะนำให้เธอกระโดดลงมาจากชั้นสิบ ไม่ใช่ระเบียงบ้านชั้นสอง...แล้วก็อย่าหาตึกที่ใกล้ต้นไม้ล่ะ เพราะเสื้อเธอจะไปเกี่ยวกิ่งไม้ มันจะลดแรงปะทะและเธออาจจะยังรอดอยู่แบบนี้!” หมอลิปร่ายยาวอย่างสุดทน
“เพราะว่ายังรอด...และแทบไม่เป็นอะไร เพราะหนูยังลืมตาขึ้นมาได้ หนูถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดผิดที่อยากตาย...และมันก็เป็นคุณหมอที่ช่วยหนูเอาไว้...หนูเลยอยากตอบแทนค่ะ หนูจะยกให้คุณหมอเป็นผู้มีพระคุณคนเดียวของหนู! หนูจะรักและเทิดทูนคุณหมอค่ะ” เด็กสาวจ้องตาคุณหมอหนุ่มอย่างมุ่งมั่น
“...” แล้วหมอลิปก็อึ้งกิมกี่ไปเลยในทันที
“ให้หนูได้ตอบแทนคุณหมอเถอะนะคะ!”
“ไม่ต้อง ฉันเป็นหมอ มีหน้าที่ช่วยเหลือคนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องติดค้างกันเป็นบุญคุณ แล้วคนอย่างเธอ...ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ตอบแทนฉันได้...” ว่าแล้วหมอลิปก็เปิดประตูรถ
“ความรักไงคะ หนูจะใช้ความรักและความซื่อสัตย์ตอบแทนคุณหมอ!”
“ก็บอกว่าไม่ต้องไง!”
“ฮึก! อย่างงั้น...คุณหมอก็ช่วยทำให้หนูตายไปหน่อยได้ไหมคะ? ในเมื่อบนโลกนี้ไม่มีใครต้องการหนูแล้ว หนูก็อย่างจะตายเหมือนเดิม ไม่มีแม่...ไม่มีพ่อ แล้วคุณหมอก็ไม่ต้องการหนู หนูก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ต่อไปอีกแล้ว...” เด็กสาวเริ่มร้องไห้ออกมา
“เป็นบ้าเหรอ? ผลเอกซเรย์ก็ปกติดีนี่ สมองไม่ได้กระทบกระเทือน แล้วเธอเป็นบ้าอะไร!?” หมอลิปดาเริ่มเดือดดาลเมื่อไม่สามารถจัดการกับเด็กสาวตรงหน้าได้
“ฮึก! หนูออกมารอคุณหมอที่หน้าโรงพยาบาลตั้งแต่เที่ยง โดนคุณป้าพวกนั้นด่าเอาๆ เพราะหนูไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา ข้าวก็ไม่ได้กิน...ฮือๆ หนูหิวมากๆ เลย และพอฝนตกลงมามันก็เริ่มหนาว...คุณหมอ...คุณหมอช่วยเลี้ยงข้าวหนูหน่อยได้ไหมคะ?”
“...!!!”
“นะคะ...แล้วหนูจะไม่มายุ่งกับคุณหมออีกเลย...”

