ตอนที่4
“ก็เราไม่ผิด...” อนัญญาพรพูดต่อ
“พอเถอะ ยายนัญ”
ชายหนุ่มนิ่วหน้าใส่ญาติผู้น้องของเขา จากนั้นหันไปทางหมอ
“ว่าไง ชัช? จะทำอะไรก็ทำเข้า”
“ถ้าเทพอยากจะรับผิดชอบแม่นี่จริงๆ ก็ไปรักษากันที่อื่น บ้านนี้ไม่ใช่โรงบาล!”
คุณชดช้อยออกคำสั่ง เนื่องจากไม่พอใจหญิงสาวที่กล้าตีฝีปาก จากนั้นก็หันไปทางคุณหมอหนุ่ม
“ชัชคงไม่ว่าน้าใจจืดใจดำนะ แต่น้าทนไม่ได้จริงๆ ที่จะอยู่ร่วมชายคากับพวกไร้สกุลข้างถนนหย่อนการอบรม”
ชัชนันท์ได้แต่ยิ้มเหย ทว่าผู้ถูกรวมเข้ากับพวกข้างถนน แถมยังโดนว่าไร้สกุลและหย่อนการอบรม ไม่ยอมนิ่งเฉยให้ถูกว่าฟรีโดยไม่ตอบโต้
“คุณนายคงเลือดสีน้ำเงินทั้งตัวนะคะ ถึงได้เที่ยวดูถูกดูแคลนคนอื่นเขาไปหมดแบบนี้”
ยิ้มที่ปรากฏบนริมปากบางอิ่มอ่อนช้อย ซึ่งเริ่มกลับมาสีสัน แย้มออกจากกันคล้ายจะขบขัน แต่ก็แฝงไว้ด้วยอาการเยาะหยัน ประกอบวาจาตามมา ทำเอาคุณชดช้อยแทบเต้น
“บอกตรงๆ นะคะ คุณนายเจ้าขา... ถ้าการเป็นผู้ดีแปดสาแหรกเก้าไม้คาน แล้วได้เที่ยวแสดงกิริยาวาจาเยี่ยงที่คุณนายกำลังแสดงต่อดิฉันอยู่ขณะนี้ละก้อ ดิฉันยินดีเป็นไพร่ค่ะ”
“แก...”
“คุณแม่ครับ”
คณเทพเรียกมารดา คล้ายจะเตือนสติ สุ้มเสียงฟังอ่อนอกอ่อนใจเต็มที
คุณชดช้อยหน้าแดงก่ำ กายสั่นเทิ้ม มือกำแน่น
“ไปเลยนะ ตาเทพ! รีบๆ พานังเด็กชาติไพร่นี่ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้เชียว!”
นังเด็กชาติไพร่... ทะลึ่งตัวพรวด แต่แล้วก็ต้องทิ้งตังลง
“โอ๊ย!”
เสียงครางลั่นอย่างลืมตัว บอกว่าไม่ได้แกล้ง แต่อย่าคิดนะว่า ความเจ็บความปวดจะชะงักการเก็บปากเก็บคำ ไม่โต้ตอบ
“ดิฉันก็ไม่อยากอยู่นักหรอกค่ะ บ้านผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินอย่างคุณนาย กลัวค่ะ กลัวว่าเลือดที่คุณนายเห็นว่าเป็นเลือดไพร่ในตัวดิฉันจะเจือจาง เพราะถูกดูดไปอยู่ที่ตัวคุณนายหมด นี่ก็ชักจะรู้สึกแล้วนะคะว่าความเข้มข้นในความเป็นไพร่ของดิฉันเริ่มลดลงเรื่อยๆ”
“ตาเทพ! ฟั๊ง! ฟังมันว่าแม่!”
คณเทพขันก็ขัน ฉุนก็ฉุน หันทำตาขึงใส่ตาดำโตที่มองมาสบตาเขาอย่างท้าทาย จนเขาชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาบ้างแล้ว
นี่ถ้าไม่เห็นว่าเจ็บตัวนะ เขาคงปล่อยไปตามยถากรรมแล้วละ
เด็กอะไรอย่างนี้ไม่รู้ ปากคอเราะร้าย ไม่มีลดราวาศอกเอาเสียเลย
จริงอยู่ มารดาของเราเริ่มก่อน แต่ตัวเป็นเด็กเป็นเล็กกว่าตั้งมากๆ เทียบกับเขาก็คงยังอายุอ่อนกว่าหลายๆ ปี น่าจะยอมๆ ลงให้ผู้หลักผู้ใหญ่มั่ง นี่อาไร๊...
“คุณแม่ช่วยออกไปก่อน นะครับ” เขากลับไปพูดกับมารดา
คุณชดช้อยทำท่าจะแย้ง แต่พอสบตาบุตรชายก็ยอมให้ สะบัดหน้าพรืด แต่ไม่วายขว้างสายตาขุ่นข้องไปทางคู่กรณีของบุตรชาย ซึ่งทำท่าจะกลายเป็นคู่ปรับลับฝีปากของตนไปแล้ว
“มาเถอะหลาน ขืนอยู่ต่อ ป้าคงทนต่อไปไม่ไหวแน่ เด็กอะไร ปากคอร้ายกาจ สงสัยพ่อแม่จะไม่เคยบอกเคยสอน”
“เอ้า? คุณนาย!” เด็กปากคอร้ายกาจ ไม่ยอมถูกด่าฟรี“คุณนายเองก็เป็นผู้ใหญ่ ผมสองสีเข้าไปแล้ว พูดอย่างนี้จะดีหรือคะ ไหนคุยโวนักว่าเลือดน้ำเงินเข้มข้นไปทั้งตัวไงล๊า แล้วไง ถ้อยวาจาถึงได้ฟัง... ตล๊าด-ตลาด”
คุณชดช้อยทำตาขยายโต อ้าปากแล้วหุบดังฉับ เมื่อสบสายตาขอร้องของบุตรชาย ได้แต่ทำปากขมุบขมิบ รีบเดินออกประตูไปโดยไม่ลืมหันมาคว้าแขนหลานสาวให้ตามไป
อนัญญาพรยอมตามอย่างไม่เต็มใจเลย ก่อนลับตัวไม่วายหันมาค้อนคนเจ็บ
คนถูกค้อนหาได้ยอมถูกค้อนฟรี แยกเขี้ยวตอบกลับทันทีเช่นกัน
คณเทพทำเสียง หึ! ในคอ เบือนหน้าไปซ่อนแววขับขันในดวงตา พักใหญ่ๆ นั่นละถึงได้กลับมามองหน้าคนที่ตัวเองมีส่วนทำให้เจ็บตัว
ชัชนันท์หัวเราะออกมาทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะรีบวางหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อเพื่อนขึงตาใส่
“เอาละ นายจะรักษาอะไรยังไงก็รีบจัดการเข้า”
ชัชนันท์ลงมือตรวจคนเจ็บ ให้การรักษาขั้นต้น หลังจากแน่ใจแล้วว่า นอกจากอาการที่ข้อเท้ากับบาดแผลไม่ถึงกับต้องเย็บที่บริเวณตีนผม ก็มีเพียงรอยฟกช้ำประปราย
“เรียบร้อย! ทีนี้ ดิฉันก็ไปได้แล้วใช่ไหมคะ คุณหมอ”
หญิงสาวถามหมอผู้ทำการรักษา หลังจากยอมกลืนยาแก้ปวดและแก้อักเสบ ตามด้วยน้ำแต่โดยดี แม้จะทำหน้าเบ้เมื่อรู้ว่าต้องกินยา
“ถ้าคิดว่าไปได้ก็ไปซิ”
เสียงตอบ ไม่ยักกะใช่เสียงหมอ ทว่าเป็นเสียงของคู่กรณี ที่ดูเหมือนคนเจ็บจะไม่อยากมองสักเท่าไรนัก เนื่องจากกลัวจะสบตาคมๆ ที่คอยจับจ้องมองมาดุๆ แกมตำหนิ
“แต่ก่อนอื่น...”
เสียงมีกังวานทุ้มเสียงเดิมพูดมาอีก
“เอาแค่ยืนให้ได้ก่อนละกัน”
หญิงสาวกัดริมฝีปากหากปลายคางเชิด
“อย่าเพิ่งใช้ขาข้างเจ็บนะครับ”
นายแพทย์หนุ่มรีบพูด เมื่อเห็นคนเจ็บทำท่าขยับตัว
“เอ้า?”
คนไข้อุทาน
“ไม่ใช้ขาแล้วฉันจะเดินได้ยังไงละคะ หมอ?”
“เดินไม่ได้ก็คลานเอาซิ ท่าทางเก่งเอาการอยู่นี่” คณเทพตอบแทน
หญิงสาวปรายตามองคนพูดคล้ายจะค้อน ก่อนจะรีบบอกตัวเองว่า อย่าไปฟัง เสียงนกเสียงกา
“ฉันขอติดรถหมอไปด้วยคนได้ไหมคะ”
ทำเสียงประจบคุณหมอหนุ่ม พยายามไม่ใส่ใจคู่กรณีที่คอยทำเสียงเหน็บแนม แทรกเป็นระยะ
