๑๗
ร่างบางเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยชุดเดรสลายดอกไม้แขนตุ๊กตาสั้นเหนือเข่าเพียงเล็กน้อย ผมถูกรวบครึ่งหัวแล้วปล่อยยาวลงมาปลายดัดลอนเพียงเล็กน้อย ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มสีสันส่งให้เธอดูน่ามองมากยิ่งขึ้น กว่าจะลงมาได้ก็หมุนดูตัวเองในกระจกหลายรอบจนอดหัวเราะในความตื่นเต้นครั้งนี้ไม่ได้ เขาชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรกมันเหมือนกับเดตแรกของเราสองคน
“สวยจริงลูกแม่ ทานอาหารให้อร่อยนะจ๊ะคุณวรรณภาลูบศีรษะลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดู เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดีในทางที่ควร จะเป็น
“ค่ะ หนูไปก่อนนะคะ” ไม่อยากไปสายเธอจึงเลือกที่จะไปรอเขาก่อนเวลานัด
ลุงแซมเปิดประตูให้ส่งยิ้มพร้อมชมคุณผู้หญิงคนเล็กของบ้าน
“วันนี้คุณนิทสวยมากเลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ได้รับคำชมก็เก้อเขินเล็กน้อยขึ้นไปนั่งบนรถรอจนกระทั่งลุงแซมออกรถไปยังที่หมายคือโรงแรมระดับห้าดาว
รถติดมากเป็นพิเศษกว่าจะถึงก็ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งทั้งที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก หล่อนยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้วจึงรีบลงจากรถด้วยความรีบ เธอนำบัตรวีไอพีที่เขาให้ไว้กับเธอยื่นให้พนักงานดูเขาจึงได้นำไปยังชั้นดาดฟ้า
เมื่อถึงสถานที่ดินเนอร์เธอก็ตกตะลึงในความสวยที่มองเห็นวิวทิวทัศน์มุมสูงโดยมีกระจกบานโตรายล้อม การตกแต่งสไตล์โมเดิร์นหรูหราจำกัดจำนวนเพียงสิบห้าที่นั่งสุดพิเศษเท่านั้น
นิทรามองรอบกายแล้วยิ้มด้วยความสุขกับดินเนอร์ครั้งนี้ เธอไม่ค่อยได้ออกไปไหนจึงถือเป็นครั้งแรกในรอบปีก็ว่าได้ที่มาทานอาหารหรูขนาดนี้ นั่งรอเพียงไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟเพราะพสุได้สั่งเป็นเซ็ตไว้ให้แล้ว ร่างบางมองดูโดยรอบดื่มด่ำกับบรยากาศแสนสวยยามเย็นด้วยความสุข มีเสียงเพลงบรรเลงแผ่วเบาสร้างบรรยากาศหวานละมุน
“ทำไมยังไม่มานะ” ดวงตากลมโตสอดสายตามองไปทั่วบริเวณชั้นดาดฟ้าก็ไม่พบพสุ เธอดูนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาเขาแต่อีกฝ่ายก็ไม่รับสาย หรือว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่าร่างบางคิดกังวลใจหากไม่ได้รู้เลยว่าเขาอยู่ทะเลกับลินดา
ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่ารถของพสุก็ถึงยังที่หมาย ลินดาลงจากรถวิ่งไปที่หาดทรายถอดรองเท้าออกให้เท้าสัมผัสกับน้ำทะเลและทรายละเอียดโดยมีหนึ่งสายตามองตามด้วยความสุขที่เห็นเธอยิ้มออกมาได้ เขาเดินมายืนเคียงข้างเธอ
“น้ำกำลังอุ่นเลย” เท้าบางเตะน้ำไปมาเล็กน้อย เธอชอบน้ำทะเลเป็นที่สุดเวลาไม่สบายใจ แค่เอาเท้าจุ่มน้ำมองบรรยากาศแสนสวยเท่านี้ก็คล้ายมนต์วิเศษปัดเป่าความทุกข์ไปได้แล้ว
“ก็แน่สิ แดดพึ่งจะหมดไป” เขาดูเวลาก็ห้าโมงแล้วตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าไป ผู้คนมีบางตาไม่มากเท่าไหร่จึงดูเป็นส่วนตัวหน่อย
“มาเล่นน้ำกันไหม” เอ่ยชวนอย่างนึกสนุก
“ไม่เอา เราไม่มีชุดมาเปลี่ยน” แม้จะเสียดายแต่เธอก็ไม่อยากจะซื้อชุดใหม่มาเปลี่ยน
พสุก็ไม่ขัดใจเพื่อนหากแต่คิดสนุกจึงกวักน้ำเพียงเล็กน้อยใส่ร่างบาง
“โอ๊ย มันเปียกนะพสุ ไม่เล่นอย่างนี้สิ” มือบางยกมาบังน้ำที่อีกฝ่ายวักใส่หากก็ไม่รอดตอนนี้ชายกระโปรงของเธอเริ่มเปียกน้ำเสียแล้ว
“ทำไมล่ะ สนุกออกนะ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วยังไม่หยุดแกล้งเพื่อนจนกระทั่งลินดาทนไม่ไหวเลยวักน้ำใส่เขาคืนบ้าง
ทั้งสองเล่นกันอย่างสนุกจนตอนนี้จากที่แห้งกลับเปียกปอนพอกัน เมื่อดูสภาพของแต่ละคนแล้วเลยตัดสินใจจะไปซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนใหม่ พวกเขาไปเดินตลาดก็ซื้อเสื้อคู่กันมาหนึ่งตัวกับกางเกงสามส่วนคล้ายกันจนนึกว่าคู่รัก
“นี่เรายังกับฝาแฝดเลยนะ” ลินดามองดูตัวเองกับพสุก็หัวเราะออกมา เหมือนกันตั้งแต่สีเสื้อลายเสื้อและกางเกงราวกับฝาแฝดคลานตามกันมา
“หรือไม่ก็คู่รัก” พสุพูดต่อนั้นทำให้เกิดความเงียบระหว่างคน ทั้งสอง
“เอ่อ ไปหาอะไรกินดีกว่า ลินหิวม้ากมาก”
แม้ไม่ได้พูดปฏิเสธแต่นั้นก็ถือเป็นการปฏิเสธที่ชัดยิ่งกว่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือเสียใจอะไร
“เอาสิ เราก็หิวเหมือนกัน” เขาเดินไปขึ้นรถเพื่อขับไปบางแสน วอล์กกิ้ง สตรีทเป็นพื้นที่ขายสินค้าหลากหลายมีทั้งของกิน เครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องประดับ งานแฮนด์เมดและยังมีสินค้าอีกมากมายให้มาเดินเลือกซื้อ พวกเขามาเร็วคนจึงไม่เยอะ
ลินดาเพลิดเพลินกับโซนอาหารที่มีมากมายเดินซื้อจนคนถือถอนหายใจออกมา
“พอแล้วมั้งครับคุณผู้หญิง” ลินดาหันมามองผู้ติดตามส่งยิ้มอ้อน
“ขออีกนิดเดียวนะคะคุณผู้ชาย ชีสบอลน่ากินมากเลย” เห็นสีหน้าออดอ้อนเขาก็อดไม่ไหวพยักหน้าตอบกลับไป
ลินดายิ้มอย่างดีใจเดินไปต่อแถวสั่งของกิน พสุผละออกมายืนรอก่อนจะมองดูนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้ว
.. เขานัดนิทราไว้ตอนหกโมง
คิดได้อย่างนั้นก็รีบควานหาโทรศัพท์ ในกระเป๋ากางเกงออกมาแต่พบว่าแบตโทรศัพท์หมดแล้ว
..แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย
“ไปกันเถอะ เราหิวแล้ว” มือบางเกาะแขนหนาเอาไว้แล้วลากให้ไปหาที่นั่งกินข้าวด้วยกัน
พสุลืมไปถึงสิ่งที่จะทำ มือหนาหยิบอาหารออกจากถุงวางบนโต๊ะทำเอาหญิงสาวตาโตรีบกินด้วยความสุขจนอิ่มแทบเดินไม่ไหว ลินดาดื่มน้ำเป็นการปิดท้าย
“อิ่มมากเลยนะเนี่ย”
“ก็ดูกินสิ ถ้าไม่อิ่มเราก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว เอาไปเก็บไว้ตรงไหนบ้าง” พสุมองคนตรงหน้าที่ตัวบางแทบปลิวไปกับลมก็เอ่ยแซ็ว
“แม่บอกว่าเรามีพยาธิเยอะเลยกินเท่าไหร่ไม่อ้วน” คุยกันจนกระทั่งมีวงดนตรีอะคูสติกขึ้นมาเล่น
ความสนใจของทั้งสองจึงถูกเบี่ยงเบนไป พสุหันมามองลินดาในขณะที่อีกฝ่ายเผลอ หัวใจเขาไม่ได้เต้นแรงด้วยความรักอย่างชู้สาวอีกต่อไปแล้ว
“ลิน เรามีเรื่องจะพูดด้วย”
ลินดาผละจากวงดนตรีหันมามองพสุแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังเธอก็นิ่งไป
“งั้นเราไปหาที่คุยที่มันเงียบกว่านี้ดีไหม”
รอบข้างคนเริ่มเยอะถ้าหากคุยเรื่องสำคัญคงไม่รู้เรื่องกันพอดี ช่วยกันเก็บขยะไปทิ้งลงถังก่อนไปที่จอดรถขับออกไปยังหาดมีแสงไฟส่องสว่างหากก็ไม่มาก พวกเขาไปเดินเล่นที่ริมหาดซึ่งก็มีคนประปรายไม่ได้มีร้านค้า
“ว่ายังไง” ระหว่างทางที่มาไม่มีการสนทนาใดเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้อึดอัด
ลินดาถอดรองเท้ามาถือไว้เดินเท้าเปลือยสัมผัสน้ำทะเล พสุยืนอยู่ข้างกันหันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่ดูมีความสุข
“มันก็พูดยากเหมือนกันนะ คือเรา”
ลินดาหยุดเดินยืนมองพสุที่ดูอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด หล่อนอมยิ้มออกมาราวกับรู้ว่าเขากำลังจะบอกอะไร
“พูดมาเถอะ ตอนนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรลินก็รับได้หมดนั่นแหละ” ทั้งสองหยุดเดินแล้วหันมามองหน้ากัน ใบหน้าคมฉายแววกังวลอย่างชัดเจนซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าจะกังวลอะไร
“เราไม่ได้ชอบลิน”
จบคำพูดลินดาก็ยิ้มออกมาทันที เธอรอฟังคำนี้มานานแล้วเพราะรู้ว่าแท้จริงพสุคิดกับเธอแค่เพื่อนเท่านั้น คงเป็นเพราะความผูกพันที่ทำให้เขาสับสน
“คิดได้สักทีนะพ่อคุณ อะไรดลใจให้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองสักทีคะ” ใบหน้าหวานเอียงคอถามอย่างแสนซน
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าเรารู้ว่าพสุไม่ได้รักเราไง เอาจริงๆนะ พสุอาจจะแยกความรู้สึกไม่ออกแต่เรารับรู้ได้ว่าระหว่างเรามันคือเพื่อนกัน มีแต่นายนั่นแหละคิดไปเองว่าความผูกพันตั้งแต่เด็กของเราคือความรู้สึกที่เรียกว่ารัก” มือบางเลื่อนไปกุมมือหนาเอาไว้แล้วเงยหน้ามองเขา
“จริงหรือ” เขาเริ่มคิดตามคำพูดของลินดา เขาตามจีบเธอมาตั้งนานยิ่งเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธก็เสียใจหากก็ไม่ได้ฟูมฟายอะไร เขายังคงเดินหน้าต่อและก็มีผู้หญิงคนอื่นเช่นเดียวกัน
“ลินรู้นะว่าพสุแอบมีคนอื่น ถ้ารักมั่นคงจริงคงไม่มีคนอื่นหรอก” พูดแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ คิดว่าเธอไม่รู้หรือตอนเรียนปริญญาตรีเขาควงดาวคณะไหนบ้าง ส่วนเธอก็ได้แต่แอบตามข่าวพี่ภมรเงียบๆ จากพสุอาจจะพูดได้ว่าเธอพึ่งเขาก็เป็นได้
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม” พสุเอ่ยถาม
ลินดาจึงพยักหน้าแล้วสวมกอดอีกฝ่ายอย่างจริงใจ ในที่สุดพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันอย่างบริสุทธิ์ใจเสียที ลินดาผละออกมามองหน้าพสุด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ อีกฝ่ายจะเป็นคนพูดว่าไม่ชอบเธอด้วยซ้ำ
“ว่าแต่อะไรทำให้สุดหล่อคนนี้คิดได้กันน้า ไอ้เราก็รอให้พูดตั้งนาน” เมื่อได้พูดเรื่องที่ค้างคาใจทั้งสองก็เดินเลียบหาดภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า“หรือว่าจะเป็นภรรยาแสนสวยอย่างนิทกันนะที่ทำให้พสุคิดได้เสียที” เมื่อเอ่ยถึงนิทราเขาก็ทำท่าขัดเขินก่อนจะคิดได้ว่าลืมเรื่องสำคัญไป
“นี่กี่โมงแล้ว” ลินดายกข้อมือขึ้นมาดูเวลาพบว่าตอนนี้สามทุ่มแล้ว
“สามทุ่มทำไมหรือ”
..แย่แล้ว!พสุรีบจูงมือลินดาไปขึ้นรถทำเอาร่างบางตามแทบไม่ทัน เธอพยายามยื้อเขาไว้เพื่อใส่รองเท้าก่อนแล้วรีบวิ่งขึ้นรถแม้ยังไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้รีบขนาดนี้ก็ตาม เมื่อขึ้นมาบนรถจึงได้พักหายใจเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“บอกได้หรือยังว่าทำไมต้องรีบขนาดนี้” พสุถอนหายใจ
“เรานัดนิทดินเนอร์ไว้แต่ลืม” พูดเท่านั้นลินดาก็เร่งให้เขาขับรถให้ถึงที่หมายทันที ขับไปชั่วโมงครึ่งน่าจะทัน
ร่างสูงควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงส่งให้ร่างบางช่วยชาร์จแบตให้ พสุเร่งขับรถให้ถึงที่หมายโดยเร็วในขณะที่ลินดาก็ช่วยเตือนสติเขาให้ระวังรถด้วยเพราะดูเหมือนใจของคนขับจะลอยไปถึงที่หมายเสียแล้วจนกลัวเกิดอุบัติเหตุ
แม้บนโต๊ะจะมีอาหารมากมายแต่เธอก็ไม่ได้แตะต้องแม้แต่อย่างเดียว ใบหน้าหวานหมองลงมองดูนาฬิกาหลายรอบเพราะโทรศัพท์หาคนนัดไม่ติด ใจเธอร้อนรนเพราะกลัวเขาจะเป็นอะไร หากออกไปหากลัวคลาดกันเธอจึงเลือกที่จะนั่งรออย่างไร้จุดหมาย ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้วเขาก็ยังไม่มา บริกรเดินมาหาเธอบ่อยจนเขินที่จะปฏิเสธ
“นี่เราต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเธอจึงรีบหยิบมาดูก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อคนที่รอโทรมาเสียที
“พสุ!เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมยังไม่มา” ด้วยความเป็นห่วงรีบถามเขาทันทีก่อนจะหน้าชาเมื่อเสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของเขา
“นิทนี่ลินเองนะ คือพสุกำลังรีบกลับนิทรอก่อนนะ”
เจ็บจนพูดไม่ออกเป็นอย่างไรเธอสัมผัสมันได้แล้ว ในขณะที่เป็นห่วงเขาแต่ว่าอีกฝ่ายกลับอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ผู้หญิงที่ครองหัวใจของเขามานานแสนนาน แค่นี้เธอก็น่าจะรู้ตัวเองได้แล้วว่าควรที่จะยืนอยู่ตรงไหน
“ค่ะ”
“พสุจะคุยกับนิทไหม” แม้อยากจะกดปิดแต่ก็เหมือนจะไม่มีแรง แค่จับโทรศัพท์ตอนนนี้ไม่ให้มันหล่นได้ก็นับว่าเก่งแล้ว
“ไม่ๆ เดี๋ยวรีบขับรถ”
“แค่นี้นะนิท เดี๋ยวรีบไปจ้ะ”
ปลายสายวางไปแล้วหากเธอยังคงถือโทรศัพท์ค้างอยู่ แววตาฉายแววเจ็บปวดก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาช้าๆ
