๑๖
พสุเดินเข้ามาในบ้านก็ไม่เจอภรรยาของตัวเองนั่งอยู่ที่ห้องโถงแล้ว เลยเดินขึ้นไปยังชั้นสองห้องของตัวเองกลับพบว่าประตูล็อก เขาพยายามหมุนจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเธอล็อกก็สบถออกมาด้วยความขัดใจ เคาะห้องเรียกนิทราทันที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เปิดประตูสิ เธอจะล็อกทำไม” ร่างบางที่นั่งในห้องเม้มปากเน้นแล้วถักนิตติ้งต่อโดยไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป “นิทเปิดประตูได้ยินไหม นิท!” เขาไม่กล้าเสียงดังเพราะพ่อกับแม่ก็อยู่จึงลดเสียงลงมาหน่อยแต่คนข้างในกลับเงียบไม่มีเสียงตอบรับเลย“หลับแล้วหรือ” ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมามองก็พบว่าพึ่งจะสามทุ่ม
..เธอไม่น่านอนเร็วขนาดนี้
“ถ้าเธอไม่เปิดฉันจะพังเข้าไปแล้วนะ” แน่นอนว่าเขาไม่กล้าทำอย่างนั้นจริงหรอก หากแต่ว่าขู่เธอไปเท่านั้น
นิทราช่างใจอยู่สักครู่ก่อนวางของลงที่โซฟาขนาดกลางในห้องลุกขึ้นไปเปิดประตูให้เขาซึ่งร่างสูงก็แทรกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมลงกลอนเรียบร้อย
“จะล็อกทำไม”
“ก็คิดว่าจะไม่กลับ” หันหลังเดินไปถักนิตติ้งต่อไม่อยากจะต่อความสาวความยืดกับเขา พยายามทำเป็นไม่สนใจแม้อยากรู้ว่าร่างสูงไปหาลินดาทำไมก็ตาม ใจมันเจ็บปวดตอนที่เห็นชื่อของหญิงสาวที่เป็นรักแรกของเขาโทรมาซึ่งสามีของเธอก็รีบรับแล้วเดินออกไปคุยข้างนอกทันทีไม่นานก็กลับมาพร้อมกับบอกจะไปหาลินดา จะไม่ให้เธอน้อยใจได้อย่างไรกัน
“พรุ่งนี้ไปกินข้าวที่โรงแรมเซนเทลโนร่ากัน พอดีลูกค้าให้บัตรวีไอพีชั้นดาดฟ้ามา” เขานั่งลงข้างร่างบางก่อนมองใบหน้าหวานที่ไม่ได้แต่งแต้มอะไรคงเพราะจะเข้านอนแต่ก็ยังดูน่ารัก
..นี่เขาชมว่าเธอน่ารักอย่างนั้นหรือ
“ได้ยินไหมที่พูดน่ะ” มือหนาพิงพนักไว้หันข้างมามองเธอ
“ได้ยิน กี่โมงล่ะ”
..ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าที่คำชวนเมื่อกี้เหมือนเขาต้องการจะ ง้อเธอ
“หกโมง เธอไปรอที่โรงแรมเลยเดี๋ยวให้ลุงแซมไปส่งขากลับค่อยกลับด้วยกัน” แปลกที่เขาอยากจะยื่นมือไปลูบผมเธอเล่นหากแต่ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน
“ไม่ไปอาบน้ำหรือไง” ตอนกลับมาเพียงแค่เปลี่ยนชุดไม่ได้อาบน้ำตอนนี้ก็เริ่มเหม็นตัวเองแล้วละเขาลุกขึ้นไปอาบน้ำปล่อยให้นิทรามองตามแล้วยิ้มออกมา
..ทำไมเขาทำตัวน่ารักขึ้นขนาดนี้นะหรือว่าจะหายโกรธเธอแล้วกลับมาเป็นพสุคนเดิม ขอแค่เขากลับมาเป็นคนเดิมไม่ต้องรักเธอก็ได้ขอแค่อย่าร้ายใส่กันก็พอแล้ว
“ต้องใส่ชุดยังไงนะ” พึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วคิดถึงชุดที่จะใส่ไป ปกติเธอไม่ค่อยออกไปข้างนอกเท่าไหร่แต่ครั้งนี้เขาชวนไปก็น่าจะแต่งตัวให้ดูดีเสียหน่อย ใบหน้าหวานแย้มยิ้มออกมาด้วยความสุขพร้อมกับเปิดทีวีดูละครไปด้วยถักนิตติ้งไปด้วย
ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนกับผ้าขนหนูขนาดเล็กที่เช็ดผมอยู่
“นี่น้ำกระเด็นโดนเรา” ไม่รู้ว่าแกล้งหรืออย่างไรเขาเช็ดจนน้ำมาโดนหน้าเธอ
พสุนั่งลงข้างนิทรามองดูละครที่กำลังเล่นด้วยความสนใจ
“เช็ดให้หน่อย” ยื่นผ้าขนหนูให้ซึ่งนิทราก็ไม่ได้ปฏิเสธรับผ้ามาเดินอ้อมหลังไปเช็ดให้เขา อีกฝ่ายก็ดูละครเพลิน “ทำไมไอ้นี่มันโง่ขนาดนี้” อดวิจารณ์ละครไม่ได้ แม้จะไม่ได้ดูจนรู้เรื่องหมดแต่เขาก็ดูออกว่าคนไหนตัวดีคนไหนตัวร้าย
นิทราเช็ดศีรษะให้เขาอย่างนุ่มนวลแล้วอมยิ้ม พสุมักจะอินกับหนังหรือละครเสมอ
“ก็ถ้ารู้มันจะจบเร็วน่ะสิ”
“แต่มันขัดใจนะ เธอดูสิตัวร้ายแสยะยิ้มให้นางเอกขนาดนั้นไม่รู้หรือไง ขัดใจจริงๆ” แล้วเขาก็บ่นออกมาจนกระทั่งเธอเช็ดผมให้เสร็จ
“แห้งแล้ว”
เอาผ้าขนหนูไปใส่ตะกร้าแล้วมานั่งข้างเขาก็ยังเห็นอีกฝ่ายสนใจละครเธอจึงนั่งถักนิตติ้งต่อ
“วันนี้ไม่มีงานหรือ”
“ไม่มี ให้พักหายใจหายคอบ้างเถอะ ทุกวันนี้งานจะทับหัว อยู่แล้ว”
ก็จริงของเขาเพราะกว่าสัปดาห์มานี้อีกฝ่ายแทบไม่มีเวลานอนเลยด้วยซ้ำ กลับบ้านมาก็ทำงานนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงยังต้องตื่นเช้าอีกอดสงสารไม่ได้เพราะพสุเป็นคนชอบนอนพอไม่มีเวลานอนเขาก็ดูเหนื่อยล้ากว่าปกติ
เธอนั่งถักนิตติ้งไปด้วยความเพลินจนกระทั่งเหลือบมองโทรทัศน์ก็เป็นข่าวหลังละครแล้วหันมองคนข้างกายก็หลับคอพับเป็นที่เรียบร้อย
..ถ้าง่วงทำไมไม่เดินไปนอนนะ
นิทราเก็บของใส่ตะกร้าแล้ววางลงที่โต๊ะปลุกสามีให้ไปนอนบนเตียง
“ละครจบแล้ว ไปนอนเถอะ”
ร่างสูงงัวเงียขึ้นมามองโทรทัศน์เห็นเธอปิดแล้วจึงลุกไปนอนบนเตียง วันนี้เขาเหนื่อยเหลือเกิน
นิทราปิดไฟสำรวจรอบห้องก็ขึ้นไปนอนข้างเขาก่อนที่อีกฝ่ายจะดึงเธอเข้ามากอดเป็นอย่างนี้มาตลอดสัปดาห์ที่เธอกลายเป็นหมอนข้างให้กับเขา
วันต่อมาภมรมารับลินดาไปทำงานด้วยกันแต่เช้าแม้ว่าจะยังไม่ได้หายโกรธเขาร้อยเปอร์เซ็นต์หากก็ไม่อยากเป็นผู้หญิงไร้เหตุผลแสนงอนจึงทำเพียงให้ทุกอย่างเป็นปกติ
“ตอนเย็นพี่จะมารับนะ” ลินดาพยักหน้าส่งยิ้มหวานให้เขาก่อนลงรถ วันนี้งานเธอมีงานไม่มากช่วงบ่ายจึงว่าง
“อะไรกันโทรหาใครก็ไม่ว่างสักคน” มือบางวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานด้วยความหงุดหงิด เธอจะชวนเพื่อนไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแต่ก็ติดงานกันทุกคน “ไปคนเดียวก็ได้” ตัดสินใจอย่างนั้นก็เก็บของให้เป็นระเบียบหยิบกระเป๋าออกมาบอกกับเลขาว่าจะกลับบ้านก่อนเรียกแท็กซี่มุ่งตรงไปห้างดัง
เมื่อถึงยังที่หมายเธอก็เข้าร้านอาหารญี่ปุ่นเพื่อกินข้าวเที่ยงด้วยความหิวก่อนที่จะไปเดินดูเสื้อผ้าที่จะใส่ไปงานการกุศลโดยเน้นที่ความเรียบแต่ดูมีระดับ พนักงานในร้านให้การต้อนรับเธออย่างดีเพราะเป็นลูกค้าประจำ
“ขอบคุณพี่ภมรมากนะคะที่มาเดินเป็นเพื่อนหยา” ชื่อนั้นทำให้เธอหยุดชะงักก่อนหันไปมองด้านหลังก็พบปุณิกายืนเลือกเสื้อผ้าอยู่กับแฟนหนุ่มของเธอ
“ครับ”
ลินดายืนมองดูคนทั้งคู่ด้วยหัวใจที่สั่นไหว แววตากลมโตสะท้อนความเสียใจที่คนรักยืนเคียงคู่ผู้หญิงที่เป็นศัตรูกับเธอทั้งที่เคยบอกไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งด้วย
ร่างบางหันหลังเดินออกไปจากร้านทันทีหากแต่ก็คิดได้ว่าไม่ควรจะคิดไปเองมือบางจึงค้นโทรศัพท์ในกระเป๋าแล้วโทรออกทันที เธอแอบหลบอยู่มุมเสามองดูทั้งสอง เสียงรอสายดังขึ้นดวงตากลมโตก็จ้องภมรที่ผละออกจากปุณิกา
“ว่าไงครับ” น้ำเสียงนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่เขามาเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่นทำให้เธอเจ็บใจกำมือแน่น
“พี่ภมรอยู่ไหนคะ” พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นแต่ก็ยากเหลือเกิน
“พี่ทำงานอยู่ เดี๋ยวตอนเย็นพี่ไปรับนะ”
..ทำงานอย่างนั้นหรือ คำตอบสร้างความเสียใจเพิ่มขึ้น เขากล้าโกหกเธอได้อย่างไรว่าทำงานทั้งที่มาซื้อของกับผู้หญิงที่เธอไม่ชอบหน้าคนนั้น
“ไม่ต้องค่ะ ลินกลับเอง” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับเธอก็วางสายในทันที น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอหันไปมองภมรครั้งสุดท้ายก็เห็นเข้าเดินเข้าไปหาปุณิกา มือบางปาดน้ำตาด้วยความเจ็บช้ำแล้วเดินออกมาทันที ผู้ชายที่เธอรักและไว้ใจกลับหักหลังเธอได้ เขาควรจะบอกไม่ใช่หรือว่ามากับใครทำไมถึงเลือกที่จะโกหกถ้าเธอไม่เห็นกับตาคงไม่รู้ว่าภมรอยู่กับปุณิกา
ร่างบางควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากดโทรออกรออยู่สักพักสายก็ถูกตัดไปราวกับเขายุ่ง
..นี่ขนาดคนที่อยู่เคียงข้างเธอตลอดยังไม่รับสายเธอเลย
ร่างบางโทรเรียกคนขับรถที่บ้านให้มารับหากแต่มีสายซ้อนมาก่อน
“ขอโทษทีนะลิน เราลืมโทรศัพท์ไว้ในรถน่ะ” พสุยังติดงานแต่ทำไมอีกคนถึงว่างมาเดินห้างสรรพสินค้าได้
“พสุ มาหาลินได้ไหม” ตอนนี้เธอต้องการใครสักคนที่สามารถรับฟังได้ซึ่งคนนั้นเธอคิดว่าเป็นพสุ
“น้ำเสียงลินดูแปลกๆนะ เป็นอะไรหรือเปล่า” หล่อนพยายามกลั้นเสียงสะอื้นแล้วตอบกลับ
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ลินรออยู่ที่ห้างนะ” บอกชื่อห้างสรรพสินค้าก็ตัดสายไป เธอเชื่อว่าแม้จะยังไม่ใช่เวลาเลิกงานแต่พสุจะต้องมาหาเธออย่างแน่นอน
รอไม่นานรถคุ้นตาก็มาจอดเทียบถนน ลินดารีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับทันที
“ลินเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” ขึ้นรถมายังไม่ทันจะได้ออกรถเขาก็สังเกตให้ดวงตาแดงก่ำแถมมือบางยังคงเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ออกไปจากตรงนี้ก่อนเถอะ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง” เห็นท่าไม่ดีเขาจึงขับรถออกไปหาสวนสาธารณะแถวนั้นให้เธอไปนั่งพัก
เขารู้ว่าลินดาชอบธรรมชาติเวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจมักจะพาเธอมาที่สวนสาธารณะเสมออีกฝ่ายก็จะอารมณ์ดีขึ้นมา เมื่อถึงที่หมายเขาก็จอดรถแล้วพาเธอเดินเข้าไป ดีหน่อยที่ตอนนี้หญิงสาวเลิกร้องไห้แล้วแต่กลับเหมือนคนอมทุกข์เสียมากกว่า
“วันนี้เราเห็นพี่ภมรอยู่กับผู้หญิงคนนั้น พอเราโทรไปหาเขาก็บอกว่าทำงาน ทั้งๆที่เราเห็นอยู่สองตาว่าเขาอยู่ข้างกัน เขาโกหกเรา” พูดจบก็ปล่อยโฮออกมาอีกรอบโดยที่พสุก็ไม่รู้จะปลอบเธออย่างไร เขาไม่ถนัดปลอบคนเสียด้วยจึงทำได้เพียงนั่งอยู่ข้างๆ เท่านั้น มือหนายกขึ้นมาลูบไหล่บางอย่างแผ่วเบาโดยไม่มีคำพูดอะไรหากแต่ลินดากลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งมา
“ไปเที่ยวทะเลกันไหม” นั่งเงียบอยู่สักพักร่างสูงจึงเอ่ยถามขึ้นเพราะนึกได้ว่าลินดาชอบทะเล
“ตอนนี้เนี่ยนะ” หล่อนก้มลงมองนาฬิกาในข้อมือเป็นเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง
เขายักไหล่ก่อนยิ้มออกมา
“โดดงานก่อนเวลาคงไม่เป็นไร ยินดีไปกับผมไหมครับคุณหนู” พสุเลิกคิ้วถามขณะที่อีกคนนิ่งไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะยิ้มออกมา
“ไปค่ะคุณผู้ชาย” ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะขึ้นรถ
ปลายทางคือบางแสนชลบุรี พวกเขาเคยไปด้วยกันบ่อยตอนที่อีกฝ่ายมีเรื่องไม่สบายใจ หลายคนอาจจะมองว่าพสุเป็นแฟนของลินดาแต่ทั้งสองต่างรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพื่อนกันหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงคิดเข้าข้างตัวเองหรือแอบหวังแต่ตอนนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น ใจของเขามันเป็นความหวังดีในแบบเพื่อนที่เขาก็ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้เหมือนกัน
..ตกลงที่ผ่านมาเขารักลินดาจริงหรือทำไมถึงตัดใจได้ง่าย ขนาดนี้
