1 ตัวภาระ (2)
ฮูด้าถอนฉุน ขยับตัวห่างจากเด็กหญิงตัวน้อยที่ขดตัวอยู่ชิดกับผนังกำแพงบ้านดูน่าสงสาร
“เจ้าพูดถูกเมียรัก” ฮูด้ายิ้มเย็น แววตาเป็นประกายแฝงฝังความเจ้าเล่ห์ “นังเด็กนี่จะเป็นตัวนำโชคให้เรา ก็ต่อเมื่อข้านำนางไปขายที่ตลาดทาส คราวนี้เราจะมีเงินใช้”
ความโลภของฮูด้าไม่เพียงทำให้นางโมน่าตกใจ แม้แต่คามีเลียก็รู้สึกไม่ดีกับคำว่า ‘ทาส’ ไปด้วย
แม้คามีเลียจะไม่รู้จักว่าทาสคืออะไร แต่ทุก ๆ การกระทำของฮูด้า และคำด่าทอนานัปการที่นางได้รับฟังทุกวันจนชาชินคราอยู่ลับหลังน้าสาว ก็ไม่ทำให้นางรู้สึกดีกับคำนี้เท่าไหร่นัก
‘จำเอาไว้ ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ เจ้าคือทาสของข้า นังเด็กเหลือขอ!’
คามีเลียสะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้า ฟังน้าสาวและน้าเขยทะเลาะกันเพราะนางเป็นตัวต้นเหตุอย่างรู้สึกไม่สบายใจ นางไม่เคยรู้ และไม่เคยเข้าใจว่าสาเหตุใดน้าเขยถึงได้เกลียดชังนางขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนในครอบครัวให้ความรักและดีต่อนาง
“แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้ ไม่รู้นังเด็กเหลือขอวิเศษมาจากไหน!”
“นางสูงส่งกว่าที่ท่านจะนึกได้” โมน่ากดเสียงต่ำลง ทำหน้าจริงจัง แต่กิริยานั้นกลับทำให้ฮูด้าหัวเราะเสียงดังจนท้องคัดท้องแข็ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามันบ้าไปแล้วโมน่า นังคามีเลียเป็นดาวบนฟ้าหรือไง ข้าถึงแตะต้องไม่ได้” ฮูด้าเหยียดเสียง ปรายตามองเด็กหญิงหน้าตามอมแมมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาเย้ยหยัน
ฮูด้ารู้แค่ว่าเด็กคนนี้คือตัวภาระของครอบครัวเท่านั้น ตั้งแต่ห้าปีก่อนที่โมน่าจูงเด็กคนนี้เข้ามาในบ้าน
สถานะทางการเงินของครอบครัวก็เปลี่ยนไป เขาเสียการพนันบ่อยครั้งขึ้น ซ้ำการค้าอูฐก็ซบเซาลง เขาจึงเชื่อว่า เด็กหญิงคนนี้ คือตัวอับโชคและเป็นตัวภาระ!
“สักวันท่านจะต้องเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตัวเอง” โมน่าตะโกนใส่หน้าสามี
แต่นางถูกฮูด้าผลักล้ม หัวหน้าครอบครัวที่ไม่เอาไหนหันมาโวยวายด่าทอคามีเลียอีกสองสามคำ จากนั้นจึงคว้าถุงเงินจากลิ้นชักก่อนออกจากบ้านดินเหนียวอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย
“ท่านพี่! นั่นคือเงินก้อนสุดท้ายที่เรามี ท่านจะเอาไปทำอะไร?” นางโมน่าตะโกนถามไล่หลังไป แต่สามีที่ติดการพนันงอมแงมกลับไม่สนใจ ซ้ำยังปิดประตูบานเก่าใส่หน้าเสียงดังปัง!
“เจ้าบ้าเอ๊ย!”
โมน่าสบถหัวเสียพลางเอามือลูบหน้าเพื่อไล่ความเครียดที่ประดังเข้ามา
“ความผิดพลาดครั้งเดียวในชีวิต คือข้าหลวมตัวแต่งงานกับเจ้าบ้าฮูด้านี่ล่ะ!!!”
โมน่าร่ำไห้อย่างหนักด้วยความน้อยใจในโชคชะตา นางเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ ก่อนหันไปมองมือน้อยที่จับบ่าของนาง ยิ่งเห็นดวงตาใสแจ๋วของหลานสาว โมน่ายิ่งสงสารคามีเลียจับใจ
“น้าโมน่าอย่าร้องไห้” เด็กหญิงทิ้งตัวนั่งใกล้ ๆ เช็ดน้ำตาให้กับน้าสาวอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรที่ดีกว่านั้น
โมน่าหยุดชะงักมองหลานสาวผ่านม่านน้ำตา ยิ่งเห็นสภาพเด็กหญิงตรงหน้า ความสงสารและเวทนายิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
“คามีเลีย... ข้าขอโทษ” โมน่าคว้าตัวเด็กน้อยมากอดไว้ “ข้าขอโทษ... ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้เลย”
เด็กหญิงตัวน้อยกอดตอบน้าสาว ซึ่งให้ความรักและเอ็นดูนางประหนึ่งแม่แท้ ๆ ที่นางจำหน้าไม่เคยได้
“น้าเขยยังไม่ได้ทุบตีข้า”
นางโมน่าลูบศีรษะของหลานสาวอย่างรักใคร่ ทะนุถนอม อีกทั้งจุมพิตศีรษะของเด็กน้อยอย่างปลอบโยน “แค่นี้ก็หนักหนาสาหัสกว่าเด็กอย่างเจ้าจะแบกรับไว้แล้ว”
“นี่อาจเป็นโชคชะตาของข้าก็ได้”
นางโมน่าย่นคิ้ว มองหน้าหลานสาวอย่างแปลกใจ
“ใครสอนให้เจ้าพูดเช่นนี้?”
“พี่ดาอูสบอกข้ามา เขาบอกว่าทุกคนอยู่ภายใต้โชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว”
คนฟังอมยิ้มกับวาจาของหลานสาว “เจ้านี่น้า ช่างพูดช่างเจรจานัก”
“น้าโมน่า ข้ามีคำถาม ใครเป็นผู้กำหนดชะตาของข้าหรือเจ้าคะ?”
เจอคำถามนี้เข้าไปนางโมน่าก็ตอบไม่ถูกเช่นกัน
“องค์เทวี... องค์เทวีแห่งแสงสว่าง” นางโมน่าตอบอย่างไม่มั่นใจ แต่เด็กน้อยยังเอียงคอสงสัย
“แล้วองค์เทวีแห่งแสงสว่างคือใครเจ้าคะ? ข้าถามพี่ดาอูส แต่เขาบอกข้าว่าจะถามท่านผู้เฒ่าซาเรฟให้ แต่ดูเหมือนพี่ดาอูสจะลืมไปแล้ว” คามีเลียทำปากยื่นเมื่อพูดถึงลูกชายคนโตของน้าโมน่า ซึ่งตอนนี้ดาอูสทำงานอยู่ที่โรงตีเหล็ก เพื่อทำอาวุธขายไปแล้ว
“พระนางคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของเจ้าและทุกคนไงล่ะ เด็กโง่” โมน่าดึงแก้มมอมแมมของเด็กหญิงตัวน้อยเบา ๆ “ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วกินซุปให้อิ่มซะ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าออกไปข้างนอก”
“ไปไหนเจ้าคะ?”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” โมน่ายิ้มอ่อนโยน คามีเลียจึงทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
