คู่เรียง(ไม่)เคียงหมอน-1
“ฉันยังไม่หิว ถ้านายหิวละก็ สั่งเลย”
เนตราใช้สายตาสำรวจทั่วห้อง คะเนจากทำเล วิวและการตกแต่ง ราคาคงหลายบาท อาจเป็นสิบล้าน
ไม่น่าแปลกที่คนฐานะอย่างเขาจะเป็นเจ้าของห้องเช่นนี้ แปลกที่แปลกทางคือเธอต่างหาก ผู้หญิงธรรมดาๆ แถมความจำเสื่อม
“ผมสั่งพิซซ่ามานะ สั่งของสดเล็กๆ น้อยมาด้วย เผื่อดาวอยากทำอะไรกินเอง”
เขาบอกเมื่อละสายตาจากจอโทรศัพท์ ชวินทร์เปิดโทรทัศน์ นั่งบนโซฟา เธอยืนเก้ๆ กังๆ จะไปนั่งข้างบนโฟาตัวเดียวกันก็ยังเขินๆ
ชวินทร์รู้ทันแกล้งลุกไปเปิดตู้เย็น เนตราจึงนั่งลงได้อย่างสบายใจ เขารินน้ำส้มเผื่อเธอ ส่วนน้ำเปล่าให้ตัวเอง
“อะไรๆ เปลี่ยนไปเยอะนะตั้งหกปี” ในจอเป็นโฆษณาโทรศัพท์รุ่นใหม่ โดยดาราที่เธอไม่รู้จัก
“ฉันเหมือนคนหลงยุค”
“เวลาแค่นี้เอง ไม่ใช่สิบปีสักหน่อย อย่าคิดมากเลย”
ชวินทร์กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อีกแล้ว เขาก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยกับเธอเหมือนกัน
“เล่าเรื่องตอนเราเป็นแฟนกันให้ฟังหน่อยสิ”
“ตอนนี้เราก็ยังเป็นแฟนกันอยู่นะ” เขากลั้นยิ้ม
“ไม่ใช่ คือแบบ... ใครขอใครเป็นแฟนก่อน”
เนตราแพ้ยิ้มละลานตาแบบนี้เสียด้วยสิ มือยกเกะกะ ไม่รู้เอาไปไว้ไหนดี เขาอึ้งไปครู่ ดวงตาเปล่งประกายปลาบ
“อย่างที่เคยเล่า ผมเลิกกับแจง ไปเรียนต่อ กลับมาเมืองไทยเจอดาว เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เลยคบกันเป็นแฟน”
“ใครขอเป็นแฟนก่อน”
“ผมเอง”
“ไม่จริงน่า” คราวนี้เขาหัวเราะ
“ดาวร้องเหมือนตอนนั้นเปี๊ยบ”
เนตราหน้าง้ำ เธอไม่ใช่ตัวตลกนะ
“นายไม่โกรธเรื่องที่ฉันทำคืนนั้นเหรอ”
เธอหันข้างไม่ยอมมองหน้าเขาตรงๆ ด้วยความละอาย เขาเงียบไปอีกครั้งจนใจเริ่มเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
“ถ้าบอกว่าไม่โกรธ มันก็โกหก” ชวินทร์ปิดโทรทัศน์ เนตราหน้าม่อย
“แต่สุดท้ายผมกับแจงก็ไปกันไม่รอด เขามีแฟนใหม่ ผมก็มีคุณ ต่างคนต่างแฮปปี้กับชีวิตแล้ว”
ฟังแล้วใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ตงิดในใจว่าอะไรจะง่ายปานนั้น ช่างเถอะ คำถามต่อไป
“เราคบกันมากี่ปีแล้ว”
“ปีกว่าๆ”
“แล้ว... เราถึงขั้นไหน”
ถึงตรงนี้เสียงค่อยเบาลงเรื่อยๆ อายจนอยากละลายเป็นเนื้อเดียวกับโซฟา
“ก็...” ชวินทร์ขยับมาใกล้ เชยคางเนตราขึ้น
“ถึงขั้นแบบคนเป็นแฟนกันนั่นแหละ อยากพิสูจน์ไหม” หมาป่าเจ้าเล่ห์ท้า
“ไม่ต้องเลยๆ” เนตราหนีจนหลังชิดที่พักแขนโซฟา
“ฉันจำอะไรไม่ได้ นายต้องสัญญาว่าจะไม่รุ่มร่าม ล่วงเกิน หรือทำอะไรที่ฉันไม่ชอบ”
“ถ้าทำล่ะ” ดวงตาฉายแววยั่วล้อ เขาสนุกกับปฏิกิริยาเธอ
“ฉัน”
สมองอันวุ่นวายของเธอกำลังประมวลผล ขณะทำตัวลีบลงเรื่อยๆ หวังเลี่ยงสัมผัสเขา
“คนอย่างนายมีศักดิ์ศรีพอ ที่จะไม่บังคับใจใครหรอก คนที่ทำอย่างนั้น ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“ดาวพูดอะไรเหมือนนางเอกในละคร”
“จะเหมือนอะไรก็ช่าง รับปากมาก่อนสิ”
“แล้วผมจะได้อะไรตอบแทน” นิ้วโป้งสาก ไล้คางเธอเล่นอย่างสนุกมือ
“ความเชื่อใจไง”
“แล้วมันใช้ทำอะไรได้”
สัมผัสอุ่นทำเนตราหวั่นไหวมิใช่น้อย แต่ยังก่อนเธอต้องป้องกันตัวให้พ้นจากเพลย์บอย หมาป่า จอมเจ้าชู้ รวมๆ กันแล้วคือชวินทร์
“ถ้ามีใครสักคนเชื่อใจ นายจะไม่รู้สึกดีหรือไง”
“เถียงกับดาวนี่ปวดหัวจัง” เสียงเขาราวกับอ่อนใจกับเธอเสียเต็มประดา
“สงสัยต้องโทรถามหมออีกทีว่าความจำเสื่อมแน่นะ”
“นายรับปากก่อนสิว่าจะไม่ทำอะไรฉัน”
“คร๊าบๆ”
เธอฉุนกับการรับปากเหมือนเสียไม่ได้นั้น แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะตอนนี้ตนเองอยู่ในสภาพลูกไก่ในกำมือเขา
“ผมอยู่ในห้องทำงานนะ มีอะไรก็เรียกได้”
ชวินทร์หมดความสนใจในตัวเธอเร็วเกินคาด เขาพยักหน้าไปทางประตูอีกบ้านใกล้ห้องนอน เนตราค่อยโล่งอก
ดูโทรทัศน์ด้วยใจปลอดโปร่ง
เธอนั่งอยู่นานจนเบื่อจึงเข้าห้องไปจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ เนตรายังชอบเสื้อผ้าเรียบๆ แบบเดิม มีชุดแซก กางเกงสแล็ค รองเท้าคัชชู ชวินทร์เอากระเป๋าเครื่องสำอางมาให้ด้วย
เนตราลองแต่งหน้า รวบผมหางม้า บุคลิกเป็นสาวทำงานขึ้นทันตา เธอคุ้นเคยกับการแต่งหน้าแต่งตัวแบบนี้
คนความจำเสื่อมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คิดว่าหากความจำไม่กลับมา ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำเช่นไรดี
จะพึ่งชวินทร์ตลอดไปคงไม่ได้ เขาเป็นแค่แฟน ไม่รู้จะเลิกกันวันไหน
นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอรู้สึกเคว้งคว้างอีกครั้งหลังพ่อแม่เสียชีวิต หนทางข้างหน้ามัวซัว เต็มไปด้วยหมอก
อยากร้องไห้เหมือนกัน แต่ร้องไม่ออก ได้แต่มองไฟบนเพดานห้องนิ่ง... เนิ่นนานจนสายตาอ่อนล้า ล่วงเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
เนตราอยู่ในสำนักงาน เธอเดินไปตามทางเดินมุ่งสู่ห้องที่มีประตูกระจกขุ่น ในมือถือแฟ้ม คนในห้องเป็นผู้ชาย เธอไม่เห็นหน้าเพราะเขาอยู่หลังจอคอมพิวเตอร์
“เที่ยงนี้ผมนัดกินข้าวกับโน้ตนะ คุณไปด้วยไหม”
เธอรู้สึกได้ถึงก้อนเนื้อในอกซ้ายที่กำลังบีบตัวอย่างแรง เขายื่นมือรับแฟ้ม ใบหน้าเขามืดเหมือนภาพระบายด้วยดินสอดำ
“ไม่ละค่ะ คุณแป...”
“ดาว!”
ชวินทร์เขย่าไหล่เนตราอย่างแรง เธอลืมตาและกะพริบปริบๆ เขาพ่นลมหายใจยาว กลัวเธอจะเป็นอะไรไป เพราะเรียกหลายครั้งแล้ว
“นายรู้จักผู้ชายที่ชื่อแปไหม” ตาชวินทร์วาวโรจน์ ก่อนเขารีบปรับให้เป็นปรกติ
“ไม่รู้จัก”
“ความทรงจำฉันกำลังกลับมา ฉันเห็นออฟฟิศ เรียกผู้ชายคนหนึ่งว่าคุณแป”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้ จะยิ่งปวดหัวเปล่าๆ มาเถอะ กินข้าวกันแล้วจะได้กินยา”
“เขาเรียกชื่อนายด้วยนะ” เธอพยายามเค้นความทรงจำที่พร่าเลือนในความฝันให้ได้รายละเอียดมากที่สุด
“บอกแล้วไงผมไม่รู้จักผู้ชายคนที่คนพูดถึง ความทรงจำคุณอาจสับสน เอาเรื่องเก่าปนเรื่องใหม่”
เขาใช้มือช้อนหลังเธอออกจากเตียง แล้วรุนหลังไปข้างนอก เธอตั้งใจเก็บความสงสัยไว้ถามหมอ ว่านั่นคือความทรงจำที่ลืมไปหรือเปล่า
ชวินทร์ทำอาหารเย็นง่ายๆ ข้าวไข่เจียวกับยำปลากระป๋อง
“เหมือนกับข้าวไปเข้าค่ายเลยเนอะ”
“อาหารกันตายของโน้ตเลยนะสมัยอยู่อเมริกา” เขาเล่าอย่างภูมิใจ
“นายไม่ได้ไปกินอาหารร้านไทยหรอกเหรอ”
เธอไม่คิดเลย วันหนึ่งจะได้เห็นเขาทานอาหารพื้นๆ ง่ายๆ
“ที่ร้านคนเยอะ ถ้าสั่งมาก็รอนานอาหารเย็นหมด โน้ตเลยทำกับข้าวเอง ทำเป็นตั้งหลายอย่างนะ”
ชวินทร์ไม่ได้โม้ อาหารรสชาติดีจริงๆ ดีกว่าที่เนตราเคยทำเสียอีก จนเธออายนิดๆ มื้อนี้เนตรารับหน้าที่ล้างจาน เพราะ เขาทำอาหารไปแล้ว หลังจากนั้นเธอรีบเข้าห้องโดยไว แต่นอนไม่หลับ
หมอให้ยานอนหลับมาด้วย แต่เนตราไม่กิน หลายวันมานี้เธอใช้หลายครั้งแล้ว เธอกลัวเสพย์ติด
นอนกระสับกระส่ายบนเตียง พยายามนับแกะก็แล้ว สวดมนต์ก็แล้ว แต่ยังไม่หลับ ตัดสินใจออกมาข้างนอก
ห้องรับแขกมืดแต่ไม่สนิทนัก นอกหน้าต่างมีแสงไฟสะท้อนบนผืนแม่น้ำเป็นทางระยิบระยิบเหมือนสะพานทอดสู่ดวงจันทร์ เนตรายืนมองเพลิน หันมาอีกทีก็เจอเงาตะคุ่มๆ กำลังจะกรี๊ด แต่ร่างนั้นก็พุ่งเข้ามาเสียก่อน
