สตรอว์เบอร์รี่ช็อตเค้ก-2
“มองผมนานๆ เดี๋ยวความหล่อจืดหมด”
“หลงตัวเอง มันมีรสด้วยหรือความหล่อน่ะ”
เอาล่ะ! เธอกำลังจะเพลี่ยงพล้ำเขา ชวินทร์จับได้ว่าเธอสนใจเขามาก แต่เนตราไม่ยอมเฉยให้เสียหน้าไปเปล่าๆ
“แล้วดาวอยากชิมไหมล่ะ”
มือแข็งแรงเชยคางเนตราขึ้น สบแววตาที่มาดมั่นเสียเหลือเกินของเขา เธอรู้สึกอึดอัด ในอกจะระเบิด หายใจทางจมูกไม่ทันจนกลายเป็นเผยอปาก
“จะว่าไปผมก็ยังไม่ทันได้ชิมเค้กเลย ไม่รู้หวานสักแค่ไหน”
และแล้วเดือนก็เคลื่อนมาใกล้ แนบชิดสนิทแน่นดาวทะเลเช่นเธอ เนตราเคยจูบครั้งเดียวในชีวิต
รสไม่หวานเหมือนนิยายรัก แต่อ่อนนุ่ม อุ่น เจือกลิ่นเหล้า จูบที่อีกฝ่ายไม่เห็นพ้องด้วย
นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสริมฝีปากผู้ชาย เธอจำได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาปะทะความอ่อนนิ่มของเธอ
อุณหภูมิที่ทิ้งรอยอ้อยอิ่งระหว่างผิวทั้งสอง ในช่องท้องปั่นป่วนเหมือนมีผีเสื้อสักล้านตัวกระพือปีกอยู่ข้างใน
จูบเดียวเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบความสัมพันธ์ฉันเพื่อน และจูบสองที่ไม่ทันตั้งตัว เธอสะดุ้ง ก้นเลยขอบเตียงไปเกินครึ่ง ดีที่วงแขนชวินทร์รัดรอบไว้ทัน
“ขนมเค้กหวานจริงๆ ด้วยแฮะ”
ชวินทร์เลียริมฝีปาก เหมือนเด็กอาลัยอาวรณ์รสชื่นของน้ำตาล
“นายทำงี้ ทำไม”
เธอรู้สึกเหมือนอยู่ในนิยายสักเรื่อง ประเภทนางเอกโดนลักจูบ อยากตบแต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย
ดวงตาที่แหงนมองเขานั้นมีน้ำคลอหน่วย สองมือยกขืนตัวออกจากวงแขนรัดแน่นเหมือนงูเหลือมรัดเหยื่อ
“ไม่รู้สิ ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” งูเหลือมเอ๊ย! ชวินทร์ตอบหน้าตาย
“แล้วมาจูบฉันทำไม”
“... ก็เราเป็นแฟนกัน” เขาพึมพำอยู่เรือนผมยุ่งๆ ของเธอ
“แต่ไม่ใช่ให้มารุ่มร่ามแบบนี้”
“ใช้คำเชยจัง”
“นายอย่ามาลวนลามฉัน”
“แรงนะนั่น ฟังแล้วเหมือนผมเป็นพวกโรคจิต” เขาชะงัก ทำเสียงฮึ ในลำคอ
“ก็ใช่ไหมล่ะ นายทำอะไรโดยฉันไม่ยินยอม”
เนตราพยายามเปลี่ยนความรู้สึกอยากจะร้องไห้เป็นฮึดสู้ ไม่สนล่ะว่าเธอกับเขาขณะนี้มีสถานะเป็นอะไรกัน แต่เธอความจำเสื่อม ควรได้ความปลอดภัย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“ห้ามแตะต้องฉันอีก”
ชวินทร์ปล่อยวงแขนหลวมๆ มองเธอนิ่ง ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“หมายถึง ฉันยังไม่พร้อม ความทรงจำยังไม่กลับมา มันสับสนไปหมด”
เนตราโน้มน้าวให้เขาเชื่อ ตามสมองจะคิดได้ ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เหมือนกัน กลัวเขาจะโกรธ ก็ตอนนี้เธอยังพึ่งเขาอยู่นะ
“ผมเข้าใจ ผมขอโทษ”
ชวินทร์ถอนหายใจยาว ลุกขึ้นจากเตียง ปล่อยเธอเป็นอิสระ จัดท่านอนและคลุมผ้าห่มให้
“พักผ่อนซะเถอะ พรุ่งนี้ผมจะมารับ”
ชวินทร์กลับออกไปพร้อมกับอาการปวดหนึบในศีรษะ จนเธอต้องขอยาแก้ปวดจากพยาบาล ค่อยช่วยบรรเทาจนหลับ ในฝันเนตรานั่งอยู่บนม้านั่งใต้ซุ้มเฟื่องฟ้าสีชมพูสดหน้าบ้าน
ใครบางคนจับมือเธออยู่ เนตรารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยก่อนภาพจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นชวินทร์ในชุดนักศึกษา และแววตาห่างเหินเหมือนในเช้าวันนั้น
เนตราสะดุ้งตื่น แล้วหลับไม่ลง จนต้องขอยานอนหลับอีกรอบ นั่นแหละเธอจึงหลับลึกจนไม่ฝันอีกเลย
หมอให้เนตราออกจากโรงพยาบาลในวันต่อมา ชวินทร์เอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน ในนั้นมีบราเซียร์สีฟ้าและกางเกงในสีเดียวกันลายจุด ยิ่งตอกย้ำความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
เขารู้ว่าเธอชอบสีอะไร เขาเข้านอกออกในบ้านกระทั่งรู้จักตู้เสื้อผ้าในห้องนอน แต่เธอตอนนี้สิ รู้จักเขาแค่ในนามเพื่อนและคนที่แอบรัก
ไม่เอาละ... เธอจะไม่คิดมาก ให้สมองฟื้นฟูตัวเอง หมอบอกเองนี่ว่าความทรงจำเธอต้องกลับมาสมบูรณ์พร้อมในสักวัน เนตราปลอบตัวเองอย่างมีความหวัง
ชวินทร์ยังชอบรถสปอร์ตเหมือนเดิม คราวนี้เปลี่ยนจากสีแดงเป็นดำจากยี่ห้ออิตาลีเป็นเยอรมัน เขาไม่ได้พากลับบ้าน รถคันงามเลี้ยวเข้าคอนโดหรูแห่งหนึ่ง
“นายพาฉันมาที่ไหน”
เธอเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทางที่เขาขับขึ้นลานจอดรถ มีรถจอดอยู่ไม่กี่คัน ล้วนเป็นยี่ห้อแพงๆ ไม่ค่อยเห็นวิ่งบนท้องถนน
“คอนโดผม” เขาปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยตัวเอง แล้วเอื้อมมาทำให้เธอด้วย
“ดาวยังไม่แข็งแรง อยู่ที่นี่สะดวกกว่า”
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“ที่บ้านห้องคุณอยู่ชั้นบน เดินขึ้นลงลำบาก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง”
“ฉันโทรบอกนายก็ได้” เธอพยายามหาเหตุผล
“ถึงตอนนั้นจะใช้โทรศัพท์ได้เหรอ”
“แล้วถ้าฉันเป็นอะไรตอนอยู่ที่นี่ ระหว่างนายไปทำงาน” เธอยังไม่ยอมแพ้อยู่ดี
“อย่างน้อยผมก็กลับมาเจอพาส่งโรงพยาบาลได้เร็วกว่าบ้านดาว”
ระหว่างทางเธอเห็นแล้วว่าคอนโดเขาอยู่ในเมือง ใกล้ทั้งสรรพสินค้าและรถไฟฟ้า โรงพยาบาลก็อยู่ไม่ไกล
ผิดกับบ้านเธอ อยู่ชานเมือง เงียบสงบ ห้างที่ใกล้ที่สุดต้องขับรถไปประมาณครึ่งชั่วโมง โรงพยาบาลไม่ต้องพูดถึง ขับไปห้าสิบนาทีอย่างต่ำ
“คนอื่นเขาจะคิดยังไงที่เราอยู่ด้วยกัน” เนตราพยายามหาเหตุผลอื่นมาจนได้
“จะคิดยังไงก็ช่างเขา ถ้าดาวเป็นอะไรไป คนอื่นไม่ได้มาช่วยดูแลเสียหน่อย”
ก็จริงนั่นแหละ เธอป่วยตั้งหลายวัน มีแต่ชวินทร์มาดูแล
“แล้วฉันต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”
“สักสองอาทิตย์ หลังไปฟอลโลว์อัพอาการกับหมอค่อยคิดเรื่องนี้กันอีกที”
ชวินทร์หยิบกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกมาจากเบาะหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของเนตรา เพราะพลาสติกสีเทาเข้มดูไม่เข้ากับบุคลิกคนถือเอาเสียเลย
คอนโดมิเนียมชวินทร์เป็นห้องเพ้นท์เฮ้าส์ มีหน้าต่างกว้างมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
ห้องรับแขกมีโซฟายาวและโทรทัศ์จอใหญ่ ประตูห้องต่างๆ เป็นไม้แข็งแรง ยกเว้นประตูกระจกสีขุ่นที่เดาว่าเป็นครัว
“ดาวใช้ห้องนี้นะ”
เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนที่มีเตียงเดี่ยว คลุมด้วยผ้าห่มสีเทา ข้างกันเป็นโต๊ะหัวเตียง ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้าแบบบิลท์อิน
“ห้องผมอยู่ข้างๆ มีอะไรเรียกได้ หิวไหม เดี๋ยวสั่งอาหารมากินกัน ดาวอยากกินอะไร”
