บทที่ 3 ฮวาอิงหลงคนใหม่
บทที่ 3 ฮวาอิงหลงคนใหม่
สามวันที่ผ่านมา ฮวาอิงหลงนอนพักอยู่บนเตียงที่เก่ากับผ้าห่มผืนบาง ร่างกายของนางค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเป็นอันมากทีเดียว ในขณะที่เสี่ยวม่านกลับต้องทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทั้งในส่วนของตนเองและฮวาอิงหลง นางต้องวิ่งวุ่นทำงานตั้งแต่เช้าตรู่จนพลบค่ำ มือทั้งสองของเสี่ยวม่านแดงเถือกและแตกจนเป็นรอยแผลจากการซักผ้าจำนวนมากมายในช่วงอากาศที่หนาวจัดเช่นนี้
ฮวาอิงหลงที่รู้สึกว่าร่างกายของเธอเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว นางลุกขึ้นเดินไปโดยรอบเรือนพลางมองดูสถานที่อย่างละเอียด เรือนรับใช้ที่นางอาศัยอยู่ในขณะนี้ค่อนข้างทรุดโทรม มีรอยแตกตามผนังและพื้นจนแทบไม่สามารถกันอากาศที่หนาวเย็นจัดได้ สภาพของเรือนทำให้นางยิ่งรู้สึกอดสูใจกับความยากลำบากที่ต้องเผชิญ
ในขณะที่ฮวาอิงหลงกำลังสำรวจเรือนอยู่นั้น เสี่ยวม่านก็เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยโจ๊กสีใสที่แทบจะมองหาเนื้อไม่เจอ ฮวาอิงหลงยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่นางดึงมือเสี่ยวม่านขึ้นมาดูอย่างละเอียด ฮวาอิงหลงมองหน้าเสี่ยวม่านด้วยความสงสารจับใจ
"อดทนหน่อยนะ เสี่ยวม่าน ข้าต้องหาวิธีทำให้พวกเราออกจากสภาพน่าอดสูเช่นนี้ให้ได้" ฮวาอิงหลงพูดเบา ๆ พร้อมกับยกมือหยาบกร้านของเสี่ยวม่านขึ้นมาแนบที่ใบหน้าของตน
เสี่ยวม่านน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน "ขอเพียงมีคุณหนูอยู่ ข้ายินดีลำบากยิ่งกว่านี้เจ้าค่ะ" นางพูดออกมาด้วยความซื่อสัตย์และความภักดีที่มีต่อฮวาอิงหลง
ฮวาอิงหลงยิ้มขันกับความไร้เดียงสาของเสี่ยวม่าน นางยกถ้วยโจ๊กตรงหน้ายื่นให้เสี่ยวม่าน "เจ้ากินเถิด ข้ายังไม่หิวนัก" ฮวาอิงหลงพูดพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน
เสี่ยวม่านรู้ดีว่าฮวาอิงหลงเป็นห่วงนาง เสี่ยวม่านจึงส่ายหน้าไปมาอย่างต้องการปฏิเสธ "คุณหนูยังร่างกายอ่อนแอ ทานเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ"
ฮวาอิงหลงยิ้มรับอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะยกถ้วยขึ้นดื่มเพียงครึ่งเดียวและยื่นให้เสี่ยวม่าน "ถ้วยนี้ถือเป็นคำสัตย์ของข้า วันหน้าหากข้ากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ข้าจะไม่มีวันลืมโจ๊กถ้วยนี้เป็นอันขาด"
เสี่ยวม่านร้องไห้ออกมาก่อนจะยกถ้วยโจ๊กขึ้นดื่มจนหมด ความตื้นตันใจของนางปรากฏชัดเจนผ่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสอง
ฮวาอิงหลงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะถามเสี่ยวม่านเกี่ยวกับแม่ทัพฟางซินเย่ และคนรอบกายเขา เสี่ยวม่านเล่าให้ฟังว่า ฟางซินเย่เดิมทีเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่เพราะฝีมือในการออกรบทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นแม่ทัพนายกอง จนกระทั่งเขาสามารถปราบพวกเจียงหลินเมืองข้าศึกได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงประทานตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ในที่สุด
"ฟางซินเย่..." ฮวาอิงหลงพึมพำชื่อนี้ขึ้นมา หากนางต้องการหลุดพ้นจากสภาพอันน่าเวทนานี้ คนเดียวที่สามารถช่วยนางได้ก็คงมีแต่ประมุขใหญ่ของจวน ฟางซินเย่ผู้นี้นั่นเอง ดวงตาของฮวาอิงหลงทอประกายความหวังขึ้นมาในทันใด
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก เฉินเม่าสาวใช้รุ่นราวคราวเดียวกับทั้งสองก็เดินอาด ๆ เข้ามา นางมีรูปร่างค่อนข้างท้วมแต่หน้าตากลับดูจิ้มลิ้มสมส่วน
"พวกเจ้ามัวนั่งทำบื้ออะไรกัน งานการไม่มีให้ทำแล้วหรือถึงได้มานั่งอู้กันอยู่ที่นี่"
เสียงอันทรงพลังทำเอาเสี่ยวม่านถึงกับสะดุ้งโหยง นางรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวด้วยเสียงสั่น "ข้าซักผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"
เฉินเม่าจ้องหน้าตาเขม็ง "เสร็จแล้วงั้นก็ไปทำอย่างอื่นเสียสิ งานในจวนมีตั้งมากมาย หรือว่าคิดจะกินแรงผู้อื่นเช่นนี้"
เสี่ยวม่านยืนตัวสั่นงันงกอยู่เช่นนั้น ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับนิ่วหน้า ก่อนจะรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
ฮวาอิงหลงลุกขึ้นเดินตรงไปที่เฉินเม่าพร้อมรอยยิ้มหวานบนใบหน้า ก่อนจะย่อตัวคำนับอย่างนอบน้อม "พี่เฉินเม่ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เป็นพวกข้าที่ไม่ดีเอง ต่อไปพวกข้าจะเชื่อฟังคำท่านเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ"
ท่าทางว่าง่ายของฮวาอิงหลงทำเอาทั้งเฉินเม่าและเสี่ยวม่านถึงกับตะลึง แต่ก่อนฮวาอิงหลงค่อนข้างถือตัวเป็นอย่างยิ่ง แม้นางจะกลายมาเป็นสาวใช้ แต่ท่าทีกลับหยิ่งยโสไม่เคยยอมก้มหัวให้กับผู้ใดมาก่อน
เฉินเม่ากระแอมออกมาอย่างวางหน้าไม่ถูก "เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว"
ฮวาอิงหลงยังคงยิ้มหวานก่อนจะเข้าไปประคองร่างท้วมอย่างเอาใจ "พี่เฉินเม่าเพิ่งเข้ามาเหนื่อย ๆ มานั่งพักสักครู่ก่อนเถิด หากพวกข้าทำให้ท่านอารมณ์เสียจนทำให้ใบหน้าที่อิ่มเอิบของท่านหมองคล้ำลง ข้าคงต้องรู้สึกผิดในใจเป็นแน่"
คำพูดของฮวาอิงหลงทำเอาเฉินเม่าถึงกับยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของตนอย่างกังวล "หน้าข้าดูหมองคล้ำงั้นหรือ"
ฮวาอิงหลงทำสีหน้าแปลกใจ "ไม่เลยเจ้าค่ะ พี่เฉินเม่าใบหน้าขาวนวล สดใสยิ่งนัก ข้าเองยังนึกอิจฉาเสียเต็มประดา บางครั้งนึกอยากจะถามเคล็ดลับจากท่านดูเสียหน่อย แต่ก็เกรงว่าท่านจะหาว่าข้าเสียมารยาทจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ"
เฉินเม่าอารมณ์ดีขึ้นเป็นพิเศษเมื่อถูกฮวาอิงหลงยกยอจนตัวแทบลอย "เจ้าก็พูดเกินไป ข้าก็แค่ใช้น้ำซาวข้าวซับหน้าทุกวัน ไม่คิดว่าเจ้าจะตาถึงดูออกจนได้"
เฉินเม่ายิ้มแย้มออกมาอย่างมีความสุข นานแล้วที่ไม่มีคนมาชมความงามของนางเช่นนี้ เมื่อได้ยินคำพูดถูกใจของฮวาอิงหลง เฉินเม่าก็เปลี่ยนท่าทีเป็นกันเองขึ้นมาเสียแต่นั้น
"เสี่ยวม่านเจ้าดูสิ พอพี่เฉินเม่ายิ้มขึ้นมาที ข้าว่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในจวนต้องเก็บท่านไปเพ้อหาเป็นแน่เจ้าค่ะ"
ฮวาอิงหลงยังคงหยิบยกคำเยินยอในบทละครออกมาพูดไม่หยุด ทำเอาเฉินเม่าถึงกับใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมา "เจ้านี่ พูดจาอะไรก็ไม่รู้ เอาละ ๆ ข้าไม่เสียเวลากับพวกเจ้าแล้ว หากเจ้าพักจนหายเหนื่อยก็ออกมาทำงานต่อแล้วกัน"
เฉินเม่าที่มีท่าทีเขินอายจนแทบม้วนรีบตัดบทก่อนจะเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ฮวาอิงหลงมองตามร่างนางไปจนลับตา ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวม่านที่ตอนนี้ยืนมองนางตาค้างตัวแข็งทื่อ
"เสี่ยวม่าน เจ้ากลายเป็นหินแล้วหรือ" ฮวาอิงหลงเอ่ยแซวนางขึ้นมา
เสี่ยวม่านกะพริบตาเมื่อมีสติขึ้น "คุณหนูท่านยังไม่หายดีเป็นแน่ เหตุใดท่านจึงเปลี่ยนไปมากเช่นนี้"
ฮวาอิงหลงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "เสี่ยวม่าน เจ้าคอยดูเถอะ ฮวาอิงหลงคนใหม่ได้ถือกำเนิดแล้ว"
