2.กล่าวหาหน้าด้านๆ
*** ทักทายคร้า ไปต่อกันเลยจ้า ***
หลังจากรับรู้ปัญหาของครอบครัว กานต์มณีแบกความหนักอึ้งในอกออกจากวังไปทำงาน วันนี้เธอมีนัดแคสต์งานของบริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งมีโพรเจกต์เปิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เน้นธรรมชาติเป็นหลัก
“สวัสดีค่ะ ดิฉันกานต์มณี มาแคสต์งานค่ะ” กานต์มณีแจ้งกับพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พนักงานต้อนรับยิ้มรับแขก
“สักครู่นะคะ…” พนักงานต้อนรับบอกเสียงหวานแล้วโทรเช็กไปที่ห้องแคสติ้ง ขณะยืนรอกานต์มณีก็มองไปรอบๆ ห้องโถงกว้างที่มีสถานที่ท่องเที่ยวและโปรแกรมทัวร์ทั้งในและนอกประเทศติดอยู่ให้ผู้สนใจศึกษา และแต่ละจุดก็มีเจ้าหน้าที่ตอบคำถามและแนะนำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เชิญที่ชั้นเจ็ดค่ะคุณกานต์มณี” พนักงานต้อนรับผายมือเชิญไปที่ลิฟต์ กานต์มณีกล่าวขอบคุณแล้วเดินไปยืนรอลิฟต์ซึ่งมีร่างสูงสง่าของใครคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว ขณะที่ยืนรออยู่นั้น สิ่งที่หญิงสาวไม่คิดจะเจอคือมีมือใครสักคนมาจับก้นเธอและบีบแรงๆ จนสะดุ้ง พอหันขวับไปมองรอบๆ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ชายร่างท้วมมาตอนไหนเธอก็ไม่อาจทราบได้เดินผ่านเธอเข้าไปในลิฟต์ แต่ร่างสูงสง่าที่ยืนเป็นหุ่นอยู่ข้างกายยังไม่ยอมเข้าไป กานต์มณีเงยหน้ามองเขาตาเขียวปัด
“ไอ้โรคจิต…” กานต์มณีกำมือแน่นด้วยความโมโห ขนาดเธอด่าแล้วยังปั้นหน้าตายไม่ยอมหันมาอีก ร่างโปร่งระหงจึงเดินไปยืนขวางหน้า ทำให้เขาลดใบหน้าที่มีแว่นกันแดดอันใหญ่ปิดกว่าครึ่งลงมามอง
“ไอ้โรคจิต คนทุเรศ” กานต์มณีบริภาษ ดวงตาคมโตลุกวาวราวกับจะพ่นไฟได้จ้องหน้าคมเข้มเขม็ง และเธอก็มั่นใจว่าไอ้โรคจิตก็มองเธอเช่นกัน
“มีอะไร…” เสียงทุ้มห้วนเอ่ยถามอย่างไม่มีหางเสียง ดวงตาคมเข้มมองหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธกันสักสิบชาติผ่านแว่นกันแดด กานต์มณีไม่พูดพร่ำทำเพลง ชกเข้ากึ่งปากกึ่งจมูกชายโรคจิตเต็มแรง คนโดนชกไม่ทันระวังจึงโดนเต็มๆ แม้แรงจะน้อยนิดแต่ก็ทำให้เขาหน้าหงายไปเลยทีเดียว
“โทษฐานที่คุณจับก้นฉัน” เธอกดเสียงต่ำแล้วหมุนตัวหันกายจะเข้าไปในลิฟต์อีกตัวที่ประตูเปิดรออยู่ คนถูกชกหน้าแดงก่ำ คว้ามือบางกระชากเดินไปที่ลิฟต์อีกตัว
“ชกคนอื่นแล้วคิดหนีเหรอแม่ตัวดี”
“โรคจิตอย่างนายโดนแค่นี้ยังน้อยไป ปล่อย!” กานต์มณีสะบัดแขนแต่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย
“ผมทำอะไร…” อัคนีถามอย่างโมโห เพิ่มแรงบีบข้อมือเล็กจนกานต์มณีเจ็บร้าวเหมือนกระดูกจะหักเสียให้ได้
“นายจับก้นฉัน…” กานต์มณีพยายามแกะมือหนาออกจากข้อมือแต่ทำไม่ได้ ทำให้เธอเริ่มหวาดหวั่นในใจเพราะรับรู้รังสีความดุดันแผ่ซ่านมากระทบกายจนรู้สึกได้
“หึๆ ถ้าอยากรู้จักผมไม่ต้องลงทุนขนาดนี้ก็ได้นะแม่คุณ แค่ทิ้งเบอร์ไว้ ถ้าผมชอบของแปลกอาจจะติดต่อไป” น้ำเสียงและคำพูดที่แฝงไปด้วยการดูแคลนทำเอากานต์มณีหน้าแดงก่ำ
“สำคัญตัวเองไปหรือเปล่า ผู้ชายหน้าทุเรศๆ แบบนี้น่ะเหรอ หางตาฉันก็ไม่แลหรอกนะจะบอกให้” หญิงสาวบอกอย่างไม่ต้องคิด เพราะแม้คนตรงหน้าจะหล่อเข็มเต็มเม็ดแค่ไหน แต่ก็ถูกความโกรธปิดจนมิด คนที่ไม่เคยถูกสาวดูแคลนอย่างอัคนีถึงกับเดือดดาล ความอยากเอาชนะวิ่งพล่านในกระแสเลือด
“ผมจะทำให้คุณแล…” สิ้นเสียงห้วนสั้น อัคนีก็ฉุดกระชากร่างระหงเข้าไปในลิฟต์ แม้เธอจะขืนตัวไว้เต็มกำลังแต่ก็สู้แรงคนตัวใหญ่ได้
“ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วยค่ะผู้ชายคนนี้เป็นโรคจิต ช่วยด้วย” กานต์มณีส่งเสียงขอความช่วยเหลือ ทำให้ยามสามคนรีบวิ่งมาช่วย ลูกค้าที่มาใช้บริการต่างหันไปมอง ไม่คิดว่าบริษัทท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยหรือใหญ่ติดหนึ่งในสามของเอเชียจะมีเรื่องแบบนี้ วายุรองประธานบริหารเดินผ่านเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี ชายหนุ่มจึงตรงรี่ไปดูทันที
“เกิดอะไรขึ้น…”
“ผู้ชายคนนี้เป็นโรคจิตค่ะ เขาจับก้นฉัน” เมื่อมีคนมาช่วยสามสี่คน กานต์มณีก็ไม่จำเป็นต้องกลัว สะบัดมือออกจากอุ้งมือใหญ่แต่ไม่หลุด วายุเห็นคนโรคจิตที่เธอว่าก็หน้าเหวอ
“เอ่อ…แน่ใจนะครับคุณผู้หญิง ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนจับ เอ่อ…” วายุเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่เอ่ยให้อีกฝ่ายเสียหาย กานต์มณีเงยหน้ามองคนข้างตัว
“ใช่แน่นอนค่ะ”
เมื่อเธอยืนยันวายุจึงหันไปมองร่างสูงสง่าที่ดูเหมือนจะหน้าตึงขึ้นเรื่อยๆ “เอ่อ…จะไม่แก้ต่างหน่อยเหรอครับ คุณโจรโรคจิต”
“ผู้หญิงสวยแต่ไร้สมอง แก้ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์” เสียงเข้มห้วนตอบอย่างไม่สนใจทุกสรรพสิ่งในโลก ก่อนจะปล่อยมือบางเป็นอิสระแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังเคลื่อนจะปิด เขามองหน้าคมสวยและจดบันทึกความแค้นลงไปในหัว กานต์มณีได้สติจะตามเข้าไปเอาเรื่อง แต่ประตูลิฟต์ก็ปิดซะก่อน
“คุณผู้หญิงมาติดต่อเรื่องอะไรครับ” วายุดึงความสนใจของกานต์มณีให้หันกลับมาหา
“ฉันมาแคสต์งานค่ะ ไม่คิดว่าจะมาเจอโจรโรคจิตที่นี่” กานต์มณีเห็นคนตรงหน้าถามเสียงอ่อนโยนจึงอารมณ์ดีขึ้น
วายุมองหน้าคมสวยและนึกได้ว่าเธอคือหม่อมราชวงค์หญิงกานต์มณี อัศวะเทพ นางแบบและนางเอกแถวหน้าของเมืองไทยนั่นเอง
“เหรอครับ ผมวายุ ภัทรเมธาเวชครับ เดี๋ยวเราขึ้นไปพร้อมกันเลยนะครับ” วายุผายมือเชิญหญิงสาวเข้าไปในลิฟต์ผู้บริหาร กานต์มณีสูดลมหายใจแรงๆ เพื่อดับอารมณ์กรุ่นในตัวให้ลดลงเพื่อทำงาน
เมื่อมาถึงชั้นเจ็ด วายุก็ขอตัวไปที่ห้องทำงาน กานต์มณีมานั่งรอที่หน้าห้องแคสต์ นางแบบหลายคนที่มาแคสต์งานนี้หันไปมองแล้วเชิดหน้าใส่ แต่กานต์มณีไม่สนใจเพราะในวงการมายาหาคนจริงใจยากเหลือเกิน
วายุเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานเห็นแผ่นหลังหนาก็อมยิ้ม คนยืนหันหลังให้ประตูเหมือนจะมีตาหลังจึงทิ้งมือลงข้างตัวแล้วหันมาหาช้าๆ ไหล่หนาเคยตั้งตรงยังไงก็ตรงอยู่อย่างนั้น เมื่อคนบุกรุกหันมาเผชิญหน้า วายุแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ เพราะปลายจมูกโด่งแดงก่ำแถมบวมอีกต่างหาก
“บราโว…สาวเจ้าคงหมัดหนักน่าดู โจรโรคจิตดั้งบวมเลย”
“พูดแบบนี้ออกกำลังกันหน่อยเป็นไงท่านรอง” คนตัวใหญ่ยืนในท่าเตรียมพร้อมและหักนิ้วเสียงดังกรอดข่มขวัญคู่ต่อสู้ วายุก้มมองสูทสีเข้มที่สวมใส่แล้วมองคนท้าสู้ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลกับกางเกงยีนสีซีด แม้การแต่งตัวจะธรรมดาแต่ก็ไม่ทำให้ความน่าเกรงขามของร่างสูงลดน้อยลงเลย ไหนๆ ประธานบริหารตัวจริงก็มาท้าถึงที่ ยังไงก็ต้องสู้ ถึงจะรู้ผลล่วงหน้าแล้วก็ตาม
“ยินดีครับท่าน…” วายุถอดสูทตัวนอกออกแล้วพาดไว้ที่พนักโซฟา ยืนพับแขนเสื้อช้าๆ หากตามองคู่ต่อสู้ไม่กะพริบตา อัคนีคลี่ยิ้มกระดิกนิ้วให้น้องชายเข้ามา
“มีเดิมพันหน่อยเป็นไง…” วายุท้า คนเป็นพี่หัวเราะในลำคอ
“หุ้นของอาร์แอนด์พีสิบเปอร์เซ็นต์เป็นไง” พี่ชายบอกอย่างมั่นใจชัยชนะ วายุยกนิ้วหัวแม่มือให้เพื่อบอกให้รู้ว่ายอมรับข้อตกลง ก่อนจะกระโจนเข้าหาร่างสูง
*** ขอบคุณคร้า ***
