ตอนที่ 4
ริมฝีปากแตะต้องสัมผัสกันโดยความตั้งใจของศิศิราแต่เป็นความตกใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากบางพยายามบดเบียดริมฝีปากอ่อนนุ่มเกินบุรุษของอีกฝ่ายตามที่เคยพบเห็นในละครทีวี โดยไม่สนใจแรงดิ้นหนีของชัฎพงษ์ที่พยายามแกะมือที่โอบกอดรอบต้นคออย่างสติแตก
“ปล่อย!!!! นังบ้า! แกมันบ้า! ไปแล้ว อีนังบ้า! นังร่าน! อดยากปากแห้งนักนะแก อีนางฟ้าจอมปลอม อีนางมารของจริง แหว๊ะ!.. อ๊วก!.. อีบ้า! อีเลว! แก..ฉันหมดความอดทนกับแกแล้ว อีบ้า! อี..อี..อีเรยา ฉันไม่รู้จะด่าจะเปรียบเปรยแกกับอะไรดี แค่ฉันลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับแกก็มากพอแล้ว ยังจะมาทำทุเรศให้ฉันสมเพชความบ้าความปัญญาอ่อนของแกมากเข้าไปอีก อีร่าน! รู้ไว้ด้วยว่าฉันอยากจะอาเจียนทุกครั้งที่เรียกแก..นางฟ้า อยากจะเรียกว่า..นางมาร ซะมากกว่า ฉันจะกลับกรุงเทพฯ แกอยากจะร่านอยู่ต่อ หรือจะไปร่านระริกกับใครก็เรื่องของแก อีบ้า!”
เสียงเดินลงส้นด้วยความโมโหจากออกไปจนไม่ได้ยินอะไรอีก แต่ก็ไม่ทำให้ร่างบอบบางที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงมีปฏิกิริยาอะไร ท้องฟ้าข้างหน้าที่มืดมนไม่เท่ากับใจที่มองไม่เห็นแสงสว่างใดหลงเหลือ น้ำตาที่ไหลลงอาบสองแก้มยังคงไหลต่อดังก๊อกรั่วแต่ไม่มีแม้เสียงสะอื้นเพียงนิดที่จะเล็ดลอดออกมา
ฝ่ามือบางยกขึ้นเช็ดริมฝีปากที่เจือสีชมพูระเรื่อ กลิ่นสตอร์เบอรี่ที่เคลือบริมฝีปากอยู่ คือคำตอบที่เธอเพียรถาม ทั้งกิริยาต่างๆ ที่เขาทำ ไม่มีเลยตรงไหนที่จะบอกว่าสิ่งที่คิด..ไม่จริง
คำด่าทอแสนเจ็บแสบเหมือนจะวิ่งวนเวียนไปมาอยู่ในหัวสมอง ‘ร่าน!’ สมควรแล้วใช่ไหมที่ถูกเรียกขานแบบนั้น สิ่งที่เธอทำอยู่มันสมควรที่เขาจะเรียกเธอแบบนั้นใช่ไหม ภาพใบหน้าพี่ชายผ่านเข้ามาในความคิด สิ่งที่เธอรู้แต่พัชราไม่รู้
“พี่นพ... ทำไมทำกับน้ำค้างแบบนี้...”
‘เขาบรรจงถอดเสื้อผ้ารุ่มร่ามที่เธอสวมใส่ออก มือหยาบที่ไวกว่าหนวดปลาหมึกลูบไล้ไปทั่ว ทรวงอกนุ่มหยุ่นมือคือที่หมายไปถึง ทันทีที่ความหยาบสัมผัสถูกผิวละเอียดเนียนนุ่ม หญิงสาวก็ต้องสะท้านเฮือกไปทั้งกาย ร่างบางสั่นสะท้านเสียจนเหมือนอยู่ในฤดูมรสุม อกอวบใหญ่แอ่นเข้าเสียดสีแผงอกแกร่งดั่งจะยั่วเย้า...อา...’
เสียงแป้นพิมพ์รัวเร็วตามอารมณ์ที่เหมือนจะถูกปลุกปั่นไปพร้อมๆ กับข้อความที่บรรจงสรรสร้าง นิ้วมือที่พยายามจะสัมผัสแป้นพิมพ์เหมือนจะชะงักเป็นช่วงๆ ลมหายใจเหมือนจะติดขัดไปกับความรู้สึกที่ถูกเร่งเร้า
“เฮ้อ!...”
กายแกร่งหงายตัวลงบนที่นอนขนาดเล็ก ฝ่ามือหนาปิดกระชับใบหน้าและดวงตาด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง สัมผัสที่รัดรึงอยู่กึ่งกลางลำตัวยังคงผงาดขึ้นอย่างกล้าหาญ เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันในขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิท แม้จะพยายามยับยั้งแต่ก็ไม่วายที่จะตื่นตัวทุกครั้งที่เขียนถึง.. กายแกร่งพลิกตัวนอนคว่ำคงมีเพียงวิธีนี้ที่เขาจะสะกดกลั้นไว้ได้
“โอ๊ย! บัดซบ! จริงๆ เลย” ฝ่ามือหนาทุบลงบนที่นอนเพราะไม่ได้ในสิ่งที่ตั้งใจ ดวงตาคมเข้มเปิดกว้างขึ้นอย่างเจ็บปวด
‘จุก..’ เพราะไม่ได้รับการปลดเปลื้องก็เลยต้องมีสภาพเยี่ยงนี้ กรามแกร่งกัดกันแน่นจนเป็นสัน ความปลดเปลื้อง..ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ แต่..ทำบ่อยมันก็ไม่ดีกับสุขภาพ ยิ่งเวลาเขียนบทแบบนี้ทีไรเขายิ่งจะทนไม่ได้มากขึ้น แต่คนอย่าง ‘ปรมะ’ อะไรที่ไม่รั้นไม่ตะแบงก็คงไม่ใช่ ไม่เว้นแม้แต่ร่างกายตัวเอง ถ้าตามใจมากก็คงไม่ดี
‘คนเราต้องรู้จักขัดใจตัวเองบ้าง ไม่งั้นก็อาจจะเป็นคนหมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องอย่างว่าร่ำไป’
ใครจะเป็นยังไงเขาไม่รู้ แต่สำหรับเขานั้นหากต้อง ‘จัดการ’ ตัวเอง ทุกครั้งไปเมื่อถึงบทเลิฟซีน อาชีพนักเขียนอย่างเขามีหวังต้องจบเห่เพราะเจ้าหนูดันเป็นหมันหรือไม่ก็อาจตายด้านไปเสียก่อนจะเจอของจริงแน่ๆ ก็ไรเตอร์หนุ่มอย่างเขาการเขียนบทอย่างว่าดูเหมือนจะเป็นงานถนัดเฉพาะตัว
‘..please..’ คือนามปากกา ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาก็คือ ทุกเรื่องนางเอกจะต้องร่ำร้องคำนี้ออกมายามโดนปลุกเร้าจากริมฝีปากร้อนๆ ไปทั่วทั้งกาย ‘..please..’ จึงกลายเป็นโลโก้ของเขาที่จะบ่งบอกถึงตัวตน
คิ้วเข้มยังคงขมวดเข้าหากันอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ ในยามนี้เขากลับรู้สึกอยากจะร้อง ‘..please..’ ให้ใครสักคนได้ยิน ยิ่งได้ยินเสียงคลื่นลมด้านนอก ยิ่งเหมือนเสียงเรียกร้องสะท้านไหวของใครบางคน แรงโยกไหวของเรือหาปลาขนาดกลางที่เขาเช่าเหมาลำมากว่า ๑ อาทิตย์สำหรับเอาไว้ทำโลเคชั่นในนิยายเรื่องล่าสุดของเขา มันยิ่งรุกเร้าร่างกายช่วงล่างของเขายามคิดว่าลำเรือไหวโยกเพราะแรงกระแทกกระทั้นรุนแรง ร่างสูงลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพลางปิดคอมพิวเตอร์ขนาดกะทัดรัดยัดลงในกระเป๋า พร้อมทั้งกวาดข้าวของที่พอจะหาติดตัวได้ใส่ย่ามใบตุ่น
“พี่หมึก! พี่หมึก!” ร่างสูงมาหยุดอยู่หน้ากระท่อมหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเรือหาปลาที่เขาไม่กล้าจะอยู่คนเดียวเพื่อสร้างบรรยากาศเป็นใจไว้รอใครอีกแล้ว
“ครับ คุณปอนด์ รอเดี๋ยวครับ ผมแต่งตัวอยู่”
