#06#
มันเป็นช่วงเวลาที่ปัดตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยมาก่อนเลยก็ว่าได้ การที่จะได้ไปเที่ยวกับนวินโดยที่ไม่มีใครอื่นไปด้วย การที่จะอยู่ด้วยกันในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่โรงเรียน เป็นการไปกันแบบส่วนตัว แบบที่ว่ามีแต่เธอกับนวินเท่านั้น ร่างสูงของนวินยิ่งดูดีเมื่อสวมยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดแบบสบายให้ความรู้สึกเบาบางไม่เคร่งเครียดเหมือนทุกครั้ง ดูนวินน่ารักและเป็นตัวของตัวเอง อย่างน้อยที่ปัดสังเกตคือนวินยิ้มมากขึ้นเมื่อออกมาข้างนอก และก็ชวนเธอคุยมากขึ้นอีกด้วย ปัดเป็นคนอาสาออกค่าตั๋วให้ โดยยืนยันแข็งขันจนไม่ให้โอกาสนวินได้ปฏิเสธ ขณะที่นั่งรอเวลาฉาย เธอทั้งคู่จึงแวะเข้าร้านหนังสือเป็นการฆ่าเวลา
“นวินเจาะจมูกนี่นานหรือยัง”
“นานแล้วล่ะ”
“ไม่เจ็บเหรอ ดูน่าเจ็บนะ” นวินไม่ตอบ เธอหัวเราะเบาๆ ยื่นปลายนิ้วมาแตะที่ปลายจมูกของอีกฝ่าย
“ไม่เจ็บเท่าไหร่” เธอตอบ พลางจ้องนิ่งไปที่ใบหน้าสวยหวานของรุ่นพี่ ในนาทีนั้นปัดก็รู้ตัวอีกครั้งว่าได้ตกหลุมรักรุ่นน้องคนนี้เข้าอีกครั้งแล้ว ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หนที่บอกกับตัวเองว่าจะไม่คิดกับนวินในทำนองนี้อีก เพราะกิตติศัพท์ความร้ายกาจของเจ้าตัวดูน่าระแวงซะไม่มี แต่ถึงอย่างนั้น เสน่ห์ของเด็กคนนี้ก็ไม่เคยหยุดจู่โจมเธอเลยสักครั้ง และปัดก็คิดว่าคงไม่ได้มีแค่เธอหรอก ที่เฝ้ามองและคิดถึงนวินดาในรูปแบบที่อยากจะให้มีสักครั้งที่ได้สัมผัสกับตัวตนของคนๆนี้อย่างใกล้ชิด
ในขณะที่ยืนคุยกันอย่างสนิทสนมในร้านหนังสือนั้น โดยไม่คาดคิดมีนก็ผ่านมา เมื่อสาวน้อยเหลือบมาเห็นคนทั้งคู่ อาการโรครักกำเริบก็ปะทุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง มีนเดินผ่าเข้าไปในร้านหนังสือ ยืนจ้องนวินและปัดอย่างหาเรื่อง หล่อนปราดไปที่นวิน เงยหน้าขึ้นสู้สายตา
“นี่ไงล่ะที่ทิ้งมีน นวินมีคนใหม่ใช่มั้ย มันไม่ใช่เพราะเราไปด้วยกันไม่ได้ แต่เพราะนวินนอกใจมีนต่างหาก คนนอกใจ ทรยศ” มีนขยับเข้ามาใกล้ แต่นวินขยับตัวหนี
“อย่าดีกว่ามีน ขอเตือน”
“นี่ขู่มีนเหรอ พูดกับมีนอย่างนี้เชียว ยัยเจ๊นี่ดีกว่ามีนตรงไหน นวินมองความรักของมีนเป็นสิ่งไร้ค่า ร้ายกาจที่สุดเลย”
“พี่เค้าไม่เกี่ยว ทุกอย่างมันเป็นการตัดสินใจของเราเอง”
“ของนวิน ไม่ใช่ของมีน!” มีนขยับเข้าไปใกล้ปัดอย่างหาเรื่อง แต่นวินใช้ร่างของตัวเองบังเอาไว้
“มีนอยากอยู่กับเราเพราะอยากจะอวดคนอื่นเท่านั้น” น้ำเสียงนิ่งๆเอ่ยออกมา ในแววตาสีหน้านั้นจริงจัง
“เราไม่ใช่ตุ๊กตานะ” ปัดที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังจับชายเสื้อของนวินเอาไว้แน่น โดยไม่รู้ตัวเธอซบใบหน้าลงกับแผ่นหลังอุ่นๆของนวิน ได้ยินเสียงทุกประโยคชัดเจนดังก้อง และกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเสื้อ
“เราจะไปดูหนัง” ว่าจบนวินก็พาปัดออกจากร้านหนังสือ ไม่ได้สนใจหันกลับไปมองสาวน้อยน่ารักที่อยู่ในร้านเลยแม้แต่น้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น
หัวลำโพงเป็นที่นัดพบรวมพลของบรรดาสมาชิกชมรมดนตรีที่แบกเป้สะพายกีต้าร์เตรียมพร้อมจะไปเที่ยว พี่ป่านไปต่อแถวซื้อตั๋วรถไฟให้ทุกคน ในขณะที่นวินมองหาที่นั่งฟังเพลง ไม่นานปัดก็เข้ามานั่งด้วย หล่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆและเอนตัวซบที่ไหล่ของนวินทันที คนที่โดนซบไม่ได้ขยับหนีแต่อย่างใด เธอแบ่งหูฟังอีกข้างให้ปัด และพูดคุยหยอกล้อกันเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน
ที่ตู้รถไฟ หลังจากที่ร้องเพลงเล่นกีต้าร์กันจนหมดแรง ทุกคนก็เลยคลานกลับมาที่ที่นั่งของตัวเองเพื่อพักผ่อนงีบหลับ ที่เบาะของนวินมีปัดมานั่งด้วย หล่อนร้องเพลงตามดนตรีที่นวินเล่น สายลมพัดโชยบางเบา กับทิวทัศน์รอบกายที่ดูคล้ายจะวิ่งตามขบวนรถไฟไม่สิ้นสุด ปัดหลับตาลง เอนตัวพิงซบกับร่างของนวิน รู้สึกถึงความสุขเล็กๆที่กำลังก่อตัวขึ้น
“ง่วงเหรอ”
“เปล่า แค่รู้สึกว่า มีความสุข”
“สุขยังไง”
“มีความสุขที่มีนวินไง” นวินได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ไม่คิดอยากได้ยินคำพูดแบบนี้จากใคร เธอรู้ตัวเองดีว่ามีปัญหาในการรักษาความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคนรัก นวินไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไม เพราะอะไร พอมีเรื่องราวหรือเหตุการณ์อะไรมาให้ครุ่นคิด หรือพอเธอเกิดความรู้สึกต่อต้าน ไม่อยากยอมรับต่ออะไรสิ่งไหนขึ้นมา เธอก็มักจะแสดงออกสิ่งเหล่านั้นโดยไม่แคร์ว่าใครจะรู้สึกอย่างไร เธอไม่เข้าใจว่าบางครั้งที่เธอเอาแต่ใจ เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่นั้น มันแปลว่าเพราะเธอรักและแคร์คนเหล่านั้นมากจนไม่อยากให้เค้าต้องมาทนรับสภาพอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเธอ หรือเพราะเธอรักตัวเองมากกันแน่
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยปกติทางด้านความคิดและจิตใต้สำนึก คล้ายบาดแผลลึกๆเป็นรอยบาดหมางให้พาลคิดว่าสำหรับเธอแล้วโลกนี้คงไม่มีใครรักเธอได้จริงๆจังๆหรอก เธอต้องการความรัก และเธอก็ต้องการคนรัก แต่พอความรู้สึกจุดหนึ่งมาถึง เมื่อความรู้สึกตกต่ำเข้ามารบกวนจิตใจ เธอก็จะกลับเข้าไปอยู่ในป้อมของตัวเองอีก คนรักและความรักจะกลายเป็นสิ่งที่ให้เธอเหยียบย่ำก้าวผ่าน เธอดูใจร้าย ไม่ยินดียินร้าย แต่นั่นมันเป็นเพราะเธอรักใครไม่เป็น หรือเป็นเพราะยังไม่เจอใครที่ใจต้องการกันนะ
