#07# To Begin
เสียงประกาศดังไปทั่วทั้งโรงเรียน แทบทุกชั้นทุกอาคารได้ยินกันชัดเจน หลายคนสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการประกาศซ้ำซากขึ้นหลายครั้งหลายครา เจ้าของชื่อที่ขานเรียกหายไปอยู่ซะที่ไหนกัน เสียงตามสายยังคงร้องตามเด็กหญิงตั้งจิตนบอยู่เจื้อยแจ้ว
ในห้องเรียนห้องหนึ่งบนอาคารห้าชั้น เด็กนักเรียนกำลังวุ่นวายกับการเก็บหนังสือหนังหาและเตรียมตำราสำหรับวิชาใหม่ หมดคาบเรียนแล้วอาจารย์ที่ทำหน้าที่ลบกระดานอยู่ค่อยวางแปรงเขรอะฝุ่นลงเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาในห้อง สายตาพรุ่งปราดไปยังโต๊ะที่สามแถวแรกในสุดริมหน้าต่าง
เด็กหญิงตั้งจิตนบที่โฟนเรียกกันปาวๆนั่งเหม่อลอยสายตาไร้จุดตกมองออกไปนอกหน้าต่างโน่น ครูสาวได้แต่ถอนหายใจ เธอขยับแว่นตาอันเป็นอาการเคยชินที่ต้องทำยามเมื่อเกิดเรื่องที่ต้องครุ่นคิดในจิตใจ ครูนฎาขยับตัวเดินไปที่มุมห้องตรงริมหน้าต่างมองให้ชัดอีกครั้งจากตรงโต๊ะครูว่าเด็กนักเรียนคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะไม่ยินดียินร้ายต่ออะไรทั้งนั้น
ครูนฎายืนพิงโต๊ะตัวยาวที่เต็มไปด้วยสมุดการบ้านของเด็กๆ เอามือกอดอก เพ่งมองเด็กหญิงตั้งจิตนบราวกับจะให้เด็กสาวรู้ตัว แต่ก็ไม่ กลับกลายเป็นเด็กคนอื่นเสียอีกที่เริ่มรู้ตัวว่าคุณครูกำลังจ้องมองไปที่เพื่อนของตัวเอง
“ตั้งจิตนบ” นฎาร้องเรียกลูกศิษย์ แต่ก็เหมือนเดิม ดูเหมือนคลื่นเสียงของเธอจะไม่สามารถแทรกผ่านความเลื่อนลอยของเด็กหญิงไปได้ ลงท้ายตั้งจิตนบจึงหันมาด้วยแรงสะกิดของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คะ?” เธอทำหน้าเหรอหราเมื่อพบว่าอาจารย์ยืนมองอยู่
“เสียงเรียกชื่อหมูแน่ะ นานแล้ว” เพื่อนยังคงกระซิบ
“ครูสั่งการบ้าน เธอได้จดหรือเปล่า” นฎาถามเสียงเรียบ ตั้งจิตนบพลิกสมุดตรงหน้าไปมาแล้วก็หันไปสบตากับเพื่อน
“มีคนมารอพบที่ประชาสัมพันธ์ ลงไปได้แล้ว เสร็จแล้วก็มาตามการบ้านกับเพื่อน” นฎาสั่งอีกครั้งก่อนจะหันไปเก็บข้าวของและหอบสมุดการบ้านออกมาด้วย ตั้งจิตนบหันรีหันขวาง เธอไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำว่ามีการประกาศเรียก เด็กสาวรีบรุดเดินออกจากห้อง ครูนฎายังคงจัดเรียงสมุดการบ้านกองใหญ่ให้เข้าที่เข้าทางอยู่ตรงระเบียงหน้าห้อง เธอจึงเข้าไปช่วยแบ่งสมุดมาถือ ลูกศิษย์และอาจารย์เดินเคียงกันมาตามทางเดิน นฎาเหลือบมองเด็กที่เดินตามต้อยๆอย่างสังเกต ตั้งจิตนบตัวสูงขึ้นกว่าเทอมที่แล้วอยู่บ้าง อีกไม่นานคงจะสูงเท่าเธอล่ะมั้ง ทางโรงเรียนทราบข่าวการจากไปของผู้ปกครองของเด็กคนนี้แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นอาการเหม่อซึมที่เด็กคนนี้เป็นอยู่คงจะไม่เป็นที่เข้าใจได้อย่างนี้
“วางตรงนี้ล่ะ รีบไปที่ประชาสัมพันธ์เถอะ” ตั้งจิตนบพยักหน้ารับ ก่อนจะวางสมุดการบ้านลงที่หน้าห้องพักครู จากนั้นก็เดินเนิบๆลงบันไดไป
เด็กสาวก้าวเท้าในจังหวะเดิม ไม่ได้อยู่ในอารมณ์เร่งร้อน อาจเพราะเรื่องราวในปัจจุบันไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากห้วงความเศร้าที่เธอกำลังจมจ่อมอยู่ก็ได้ เธอเดินตัดผ่านสนามท่ามกลางแสงแดดจัดในยามบ่าย แดดร้อนจนเกินอุ่นทำเอาแสบผิวและใบหน้า ตั้งจิตนบไม่ได้ยกมือขึ้นบังแดด ร่างขาวๆของเธอกำลังเคลื่อนไหวตัดกับสีสนามหญ้าเขียวสดท่ามกลางอาคารหลังใหญ่ที่ทอดตัวเรียงรายโอบล้อมสนามผืนนี้
นฎายืนนิ่งจับจ้องสายตาไปที่เบื้องล่างสนามโล่งๆนั่น เป็นตั้งจิตนบนั่นล่ะ เด็กคนนั้นเดินตากแดดหัวแดงไปที่อาคารประชาสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่เกือบถึงหน้าประตูโรงเรียน นึกในใจว่าทางเดินร่มๆมีก็ไม่ไปเดิน
“แกจะอยู่ที่นี่เป็นเทอมสุดท้ายแล้วล่ะดา” เสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้หญิงสาวหันไปมอง อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งยืนกอดอกจับจ้องไปที่ร่างบอบบางที่เดินกระย่องกระแย่งอยู่กลางสนามด้วยทีท่าสงบ
“แกก็ม.3 แล้วนี่คะ” นฎาว่า พลางทำหน้าเรียบเฉย
“หมายถึงว่า แกคงจะย้ายไปอยู่ที่อื่นน่ะ วันก่อนผู้ปกครองมาคุยเรื่องขอคืนสิทธิโควต้าเรียนต่อที่ตั้งจิตนบได้” นฎาพยักหน้าหงึกหงัก เข้าใจในความหมายที่อาจารย์ท่านนั้นบอก
“น่าเสียดายนะ และก็น่าเสียใจ” อาจารย์ท่านนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตั้งจิตนบเป็นเด็กดีและเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคณาจารย์ทุกท่าน เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งแม่ค้าร้านข้าวร้านน้ำ รวมไปถึงนักการหรือยามหน้าประตู เธอเป็นเด็กร่าเริง แจ่มใส เก่งกิจกรรม มีน้ำใจกับทุกคน นอกจากนี้งานด้านวิชาการตั้งจิตนบก็ไม่แพ้ใคร เธอน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นนักล่ารางวัลให้โรงเรียนคนหนึ่งเหมือนกัน ร่าเริง แจ่มใส นฎาก็เชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่ตั้งจิตนบดูราวกับเป็นคนละคนจากที่ใครๆเคยรู้จัก ดูเงียบขรึมนับตั้งแต่แม่ของเด็กหญิงทรุดหนักด้วยอาการป่วยเรื้อรังมานานแรมปี และก็ยิ่งเงียบลงไปอีกมากมาย เมื่อข่าวน่าสะเทือนใจเกิดขึ้น แม่ของตั้งจิตนบจากไปอย่างสงบแล้ว เหลือไว้เพียงภาพเงาความทรงจำเท่านั้น
ตั้งจิตนบก้าวขึ้นบันไดอาคารชั้นเดียวที่ออกแบบมาราวกับบ้านยกพื้น ห้องกลมๆที่อยู่ด้านในระเบียงล้อมไปด้วยกระจกดูราวกับประภาคารเตี้ยๆ เด็กสาวถอดรองเท้าไว้หน้าประตูก่อนจะค่อยๆเลื่อนประตูกระจกบานกว้างเปิดออก ที่ชุดรับแขกมีชายคนหนึ่งนั่งสงบอยู่พร้อมด้วยอาจารย์ผู้ใหญ่อีกหนึ่งท่าน
“ทั้งโรงเรียน ก็มีตั้งจิตนบอยู่คนเดียวนี่ล่ะค่ะ” เด็กหญิงเดินเข้าไปด้านในช้าๆ มองนิ่งไปที่ชายคนนั้น เธอคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง เขานั่นหรือมาพบเธอ พบทำไมกัน
“คุณคนนี้อ้างว่าเป็นญาติของเธอ เธอรู้จักเขาหรือเปล่าตั้งจิตนบ”
“แกไม่รู้จักผมหรอกครับคุณครู” เสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนที่ตั้งจิตนบจะทันได้ตอบคำถาม
“ผมมิได้มีเจตนาร้ายหรอกครับ นี่นามบัตรของผม หนูสบายดีใช่มั้ย” เขาหันมาถาม ตั้งจิตนบเพ่งมองมือขาวสะอาดของเขาที่ยื่นนามบัตรให้กับอาจารย์ ชายวัยกลางคนที่แต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามีราคา สวมรองเท้าหนังขัดอย่างดี ดูท่าทางยังไงก็คงไม่ใช่คนแถวนี้
“ค่ะ หนูสบาย และมีความสุขดี”
“ดิฉันคงต้องขอให้คุณกลับไปเสียก่อน หากไม่ต้องการให้ทางเราติดต่อกับผู้ปกครองของเด็ก และขอให้ลงบันทึกในการมาครั้งนี้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยค่ะ ดิฉันเข้าใจว่าคุณคงมิได้มีเจตนามุ่งร้าย แต่ก็เพื่อป้องกันความปลอดภัยเอาไว้ก่อน การที่ทางเราอนุญาตนำเด็กมาให้คุณพบก็ถือว่าเราให้โอกาสคุณมากแล้ว”
“ผมเข้าใจครับ ต้องขอบคุณทางโรงเรียนมาก มันดูจะเป็นเรื่องแปลกซะหน่อยที่ผมมาขอพบเด็ก โดยที่เด็กไม่รู้จักผมเลย” ตั้งจิตนบยืนขมวดคิ้ว เธอรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาคุ้นหน้าชายคนนี้ เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน อาจารย์ท่านนั้นเหลือบมองนามบัตรในมือ นามสกุลที่ปรากฏอยู่บนนามบัตรกลับมีความหมายขึ้นมาทันทีเมื่อชื่อบริษัทที่ต่อท้ายอยู่นั้น เป็นองค์กรธุรกิจที่มีชื่อเสียงในประเทศ ชายคนนี้เองก็ปรากฏตัวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับวงการธุรกิจอยู่บ่อยๆ
“ลุงเสียใจเรื่องแม่ของหนูด้วยนะจ้ะ”
