#04#
เพียรเลิศรู้จักสนิทสนมกับตั้งจิตนบมานาน นับแต่เด็กผู้หญิงตัวน้อยย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางไร่ที่ตั้งเด่นอยู่บนเนินลูกเตี้ยท่ามกลางท้องทุ่งกว้าง เพียรเลิศเป็นคนในพื้นที่ และเขาก็ดูจะชอบอกชอบใจที่จะมีเพื่อนเล่นใหม่เป็นเด็กผู้หญิงผู้มาจากเมืองกรุง ไร่ของครอบครัวเขามีพื้นที่อยู่ติดกันกับที่ดินของบ้านตั้งจิตนบ คุณน้าดาราแม่ของหล่อนย้ายมาอยู่ได้ไม่กี่ปีหลังจากที่เจ้าของเดิมย้ายออกไปโดยทิ้งท้องทุ่งกว้างใหญ่อันเป็นจุดทำเลที่ใครก็อยากจะได้มาไว้ในครอบครองให้รกร้างว่างเปล่าราวกับทุ่งมาราธอน เพราะอย่างนั้นอย่ามาถามเลยว่าเขากับหล่อนจะรู้จักกันหรือเปล่า เพราะมันจะยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก ตั้งจิตนบและเขาวิ่งเล่นตุเรงๆกันมาแต่เด็ก ชีวิตในวัยเยาว์ทั้งคู่ต่างมีความทรงจำร่วมกันมามากมาย จนตอนนี้เวลาผ่านล่วงเลยมานับสิบปี ความสัมพันธ์ของเขาและหล่อนยังคงความเสมอต้นเสมอปลายไม่มีเปลี่ยนแปลง แล้วจะไม่ให้ประหลาดใจได้ยังไงเมื่ออยู่ดีๆหล่อนถามเขาว่ารู้จักหล่อนหรือเปล่า
“ไร่นี่ล่ะ”
“เธอจะให้ฉันดูแลมันทุกอย่างได้อย่างไรหรือเพียร เธอพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าฉันก็แค่เด็กผู้หญิง”
เขาก้มหน้านิ่ง รู้สึกไม่ดีกับคำพูดของตัวเองในวัยเยาว์ และรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าที่ตั้งจิตนบยังอุตส่าห์จำมันได้
“พวกพ่อจะดูแลเอง ไม่แน่พวกเขาอาจจะขายมัน”
“หากเธอจะขาย ฉันจะซื้อเอง อย่าขายใครเลย” เขาพูดจากใจจริง และที่อยากจะพูดอีกก็คือไม่ว่าวันใดที่ตั้งจิตนบอยากจะได้คืน ขอเพียงแค่ให้บอก เขาเองยินดีที่จะขายคืนให้โดยไม่มีข้อเรียกร้อง
“ของพวกนี้เป็นของพ่อฉัน”
“หมายความว่าจะทิ้งมันไปจริงๆหรือไง”
“มีทางเลือกด้วยเหรอเพียร” หญิงสาวนั่งเล่นผมยาวประบ่าของตัวเอง เธอขมวดปลายผมเล่น เพียรเลิศได้แต่นิ่งมองแล้วหัวเราะ
“คงคิดถึงเธอ” เขาว่า
“แน่สิ เธอจะคิดถึงใครได้ นอกจากฉัน” เธอถอนหายใจยาว แล้วก็เอาแต่มองเหม่อ เพียรเลิศนั่งมองเด็กผู้หญิงที่โตมาด้วยกันด้วยแววตาอาทร เขาเป็นห่วงและผูกพันกับหล่อนราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
“อยู่ที่นี่เธอก็มีครอบครัวนะ ทำไมต้องไปอยู่ที่อื่น” เพียรเลิศเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เด็กสาวหยุดขมวดปลายผม เธอหันหน้ามองเพื่อนชายที่สนิทกันมาแต่เด็กอย่างตั้งใจ
“มันเป็นความต้องการของแม่” แววตาคมกล้ามีวูบไหวประกายความเศร้า และเพียงร่องรอยของความอ่อนแอนั้น สาวน้อยก็เบือนหน้าหนีเก็บซ่อนอารมณ์ไว้มิดชิด ใต้ต้นก้ามปูใหญ่ยังคงมีเรื่องราวรอการเล่าขาน แต่ถึงตอนนี้ เวลาที่จะเล่าสู่กันฟังคงเหลือน้อยเต็มที ภาพบ้านหลังงามมองเห็นอยู่รำไรจากเนินต้นก้ามปูแห่งนี้ ตั้งจิตนบเพ่งพินิจไปที่นั่น เธอมองเห็นภาพตัวเองเป็นเด็กตัวน้อยวิ่งเล่นอยู่กับแม่อย่างมีความสุข
“ขึ้นมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนนะ นวิน ได้ยินรึเปล่า” เสียงตะโกนของมีนที่ดังก้องไปทั่วบริเวณสระว่ายน้ำไม่ได้ทำให้คนที่ลงว่ายอยู่ในสระลึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เจ้าของร่างงดงามที่ลอยตัวเล่นอยู่เหนือผิวน้ำดูราวกับไม่ทุกข์ร้อน ปล่อยอารมณ์ความคิดให้ล่องลอย เบาสบาย
“นวิน! นวินทำอย่างนี้กับมีนไม่ได้นะ ไม่ได้!” เสียงนั้นยังคงแผดก้อง เดาได้ชัดว่าหล่อนคงหงุดหงิดน่าดู นวินดาตัดความสัมพันธ์กับเธอเมื่อสัปดาห์ก่อน ดูคล้ายเค้าจะไม่มีเยื่อใยความรู้สึกใดๆในแววตาเลย เดินทำหน้าเฉย แล้วก็เอ่ยขึ้นเรียบๆว่าเลิกเป็นแฟนกันเถอะ แบบนี้จะให้เธอยอมรับได้อย่างไร แล้วก็กลายเป็นเธอที่เดือดเนื้อร้อนใจ เต้นเป็นเจ้าเข้าอยู่ฝ่ายเดียว ตัวนวินดานั่นหรือไม่เห็นจะออกอาการอะไรเลยสักอย่าง เหมือนที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกอะไรกับเธอเลยอย่างนั้นล่ะ
มีนเดินตามนวินที่ว่ายอยู่ในสระไปจนถึงอีกด้านหนึ่ง เธอตะโกนไปเรื่อยๆ หวังจะได้อะไรตอบกลับมา แต่มันก็เปล่าเลย สุดท้ายเมื่อนวินขึ้นจากน้ำ มีนจึงปรี่เข้าไปเขย่าแขนถามอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นวิน มีนไม่ยอมนะ ทำไมต้องทำกับมีนอย่างนี้ด้วย ทำไมต้องบอกเลิกมีนด้วย มีนทำอะไรผิด” นวินไม่ตอบ ส่ายหน้า แล้วเดินหนี เรือนกายพราวน้ำเปียกชุ่ม ไหล่กว้างอย่างโครงสร้างนักกีฬาของเธอทำให้ดูดีในชุดว่ายน้ำเสียจริงๆ
“นวินคะ มีนขอโทษ เราอย่าเลิกกันเลยนะ”
“เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะมีน”
“ถ้านวินอยากเป็นเพื่อนกับมีน แล้วมานอนกับมีนทำไม เพื่อนที่ไหนเค้าทำกัน”
“เราขอโทษ”
“แค่นี้เหรอ แล้วความรู้สึกของมีนล่ะ มีนรักนวินนะ”
“แต่ดูเหมือนเราจะไม่ได้คิดกับมีนอย่างนั้น” ว่าจบร่างสูงโปร่งก็เดินจากไป ทิ้งให้มีนยืนตาแดงอยู่ที่ขอบสระเพียงลำพัง
โดนทิ้งจริงอย่างนั้นหรือ?? มีนร้องถามตัวเองในขณะที่น้ำตาหยดแรกร่วงลงมาจากขอบตา ที่ใครๆเค้าพูดกันก็คงจริงอย่างนั้นสิ นวินดาคนนี้ ไม่เคยมีหัวใจให้ใคร คนที่หล่อนคบหาด้วยไม่เคยมีใครคงความสัมพันธ์อยู่ได้ยาวนาน หล่อนไม่แคร์เลยสักนิด
นวินกำลังนอน เธอนอนอยู่บนม้านั่งตัวยาวในห้องของชมรมดนตรี ในมือถือหนังสือ สายตาวางเฉยจับจ้องที่ตัวอักษร ในหูยินเสียงเพลงดังแว่ว ช่วงฤดูกาลแห่งการสอบดูจะเป็นช่วงเวลาที่เธอชอบที่สุดเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องเข้าชั้นเรียนไปนั่งฟังอาจารย์สอนหน้าห้อง ไม่ต้องคอยเวลากริ่งดังเพื่อที่จะได้ออกจากเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมนั่น และเธอก็ยังมีเวลาได้อยู่กับตัวเองเพื่อนอ่านหนังสือด้วยตัวเองอีกด้วย ไม่มีใครมาเจ๊าะแจ๊ะให้น่ารำคาญ
“นวิน พี่ป่านเรียกแน่ะ” รุ่นพี่คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องและร้องบอกเธอว่าประธานชมรมต้องการพบตัว นวินดายังคงนอนนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนหรือตอบสนองอะไร
“เฮ้ พี่ป่านเรียก ได้ยินมั้ย” เด็กหนุ่มคนนั้นเดินมาใกล้ๆแล้วดึงเฮดโฟนของเธอออก
“รู้แล้วน่า”
“รีบไปล่ะ เสร็จแล้วตามไปที่ลานด้วย”
“นี่มันช่วงสอบ ไปที่ลานทำไม” เธอบ่นเรียบๆ เก็บของใส่กระเป๋า รุ่นพี่คนนั้นกำลังถือกีต้าร์เดินออกไป เขาไม่สนใจคำถามของเธอ แต่นวินดาเองก็ไม่อยากจะได้คำตอบจากเขาเหมือนกัน
