บท
ตั้งค่า

#03#

“คุณภัทรมีอะไรคะ”

“คุณอาเห็นว่านวินไม่ไปเรียนก็เลยเป็นห่วงว่าจะไม่สบายรึเปล่าน่ะจ้ะ” เสียงของหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆชายคนนั้นเอ่ยขึ้น หล่อนเป็นแม่ของตัวเล็ก หนูน้อยที่ขึ้นไปตามเธอเมื่อสักครู่นี้ นวินดาชายตาไปมองหล่อนเพียงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรกับภรรยาของชายคนนั้นแต่ยังคงหันไปตั้งคำถามกับเขาด้วยคำถามเดิม

“มีอะไรเหรอคุณภัทร”

“นวินไม่สบายหรือเปล่า เห็นว่าไม่ไปเรียนหลายวันแล้ว อาจะพาไปหาหมอ” เสียงนุ่มๆของชายที่นั่งเป็นประธานอยู่กลางห้องเอ่ยขึ้น ชายผู้ได้รับสิทธิอันชอบธรรมในการดูแลรับผิดชอบเธอไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ ชายผู้ซึ่งเป็นอาของเธอ ชายผู้โชคดี

“ไม่มีอะไรนี่ แค่ไม่อยากไปเรียน ก็เท่านั้น” เธอตอบสีหน้าเมินเฉย

“พรุ่งนี้นวินจะไปก็แล้วกัน ทุกคนจะได้สบายใจ”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ นวิน ถ้าหนูไม่ชอบเรียนที่นี่ อาจะหาที่ใหม่ให้ หรือหนูอยากจะไปเรียนเมืองนอกล่ะ” อาของเธอลุกขึ้นอย่างยากลำบาก อาการซวนเซคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่ ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆต้องปราดเข้ามาประคอง ผลจากอุบัติเหตุทำให้เขาเดินไม่ได้อยู่หลายปี กว่าจะถึงวันนี้กายภาพบำบัดช่วยให้เขาสามารถเดินได้จนแทบจะเป็นปกติ

“ถ้าคุณภัทรอยากให้อยู่ที่โน่น แล้วคุณให้นวินกลับมาทำไม!”

“นวิน หนูต้องเข้าใจนะ นี่นั่นไม่เหลือใครแล้ว” หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ เธอกลัวการกลับมาที่บ้านหลังนี้ แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่เธอกลัว เธอเกลียดด้วยซ้ำ เกลียดเงาของบ้านนี้ เกลียดทุกซอกทุกมุมที่มันเคยมีภาพของพ่อแม่ยิ่งพีรภัทรทำดีกับเธอมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกตัวเองน่าเวทนามากขึ้นเท่านั้น

“นวินไม่เหลือใครจริงๆอย่างที่คุณภัทรเข้าใจนั่นล่ะ” เธอว่า แล้วหันหลังเดินขึ้นห้องตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ พีรภัทรทรุดนั่งลงอย่างหมดแรง นวินดาไม่ยอมรับฟังไม่ยอมเข้าใจอะไรทั้งนั้น หล่อนดูเย็นชา และเมินเฉย ความรู้สึกที่เด็กสาวเก็บกั้นไว้ภายในจนก่อกำแพงใหญ่โตโอบล้อมมันไว้ดูจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆเสียแล้ว

“ใจเย็นๆเถอะค่ะ นวินต้องการเวลาปรับตัว”

“ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในเมื่อแกไม่ยอมฟังผมเลย” เขาเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ

“สักวันแกจะเข้าใจคุณค่ะ”

“แกจะเข้าใจผมได้ยังไงกัน ในเมื่อแกไม่เคยยอมรับด้วยซ้ำว่าผมเป็นอาแก” ภรรยาจับมือให้กำลังใจเขาอีกครั้ง ลูกสาวตัวเล็กละความสนใจจากของเล่นกระโดดขึ้นมานั่งข้างๆ

“พี่นวินใจดี ให้ตัวเล็กเอาเครื่องบินมาเล่นได้ด้วยค่ะ” ตัวเล็กเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสดใส ทำให้บรรยากาศในห้องดูดีขึ้นมาหน่อย

“แล้วเรื่องนั้นล่ะคะ คืบหน้าบ้างมั้ย” เสียงภรรยาถามอย่างห่วงใย พีรภัทรเองได้แต่ส่ายหน้าไปพลางถอนหายใจไปพลาง

“ทางโน้นยังไม่ตอบอะไรกลับมา ผมห่วงแต่ว่ามันจะไม่ได้เรื่อง” น้ำเสียงนั้นมีแววกังวล เสียงถอนลมหายใจหนักหน่วงทิ้งตามมาหลังจากเขากล่าวประโยคนั้นจบ

เสียงเปียโนจากเพลงไพเราะของศิลปินคนโปรดกำลังบรรเลงเล่น นวินพยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้าง พยายามเอาใจจดจ่อกับเนื้อเพลงและเสียงดนตรี แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เสียงหนวกหูของโทรศัพท์ที่ร้องปี๊บๆน่ารำคาญ มีนโทรมาตลอดดูท่าเจ้าหล่อนคงจะหงุดหงิดไม่น้อยเรื่องที่เธอตัดความสัมพันธ์แบบไม่ทันได้ตั้งตัว เธอไม่อยากไปเรียนหนังสือ ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากได้ยินเสียงวุ่นวาย เบื่อหน่ายและหงุดหงิดกับสิ่งรอบตัว ไร้เหตุผลของที่มา และไม่มีข้อแก้ตัวให้กับสิ่งที่กระทำผิดพลาด สรุปแล้วก็คือเมื่อไม่อยากจะทำอะไร เธอก็จะทำตามใจที่ตัวเองคิด ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น.

ตั้งจิตนบนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวใต้ต้นก้ามปูที่ตอนนี้ออกดอกสะพรั่งอยู่เต็มต้น หญิงสาวเอนตัวเอกเขนกในท่านั่งปล่อยเท้าระพื้นสบายอกสบายใจ สายลมเย็นพัดไหวโชยเอื่อย ดอกก้ามปูสีสวยโปรยปรายลงมาข้างตัว

เธอแหงนเงยมองภาพเขียนที่ธรรมชาติกำลังระบัดระบายได้ด้วยตนเองอย่างเพลินตา ไม่ช้า สายลมเย็นสบายนั่นก็ทำให้ผ่อนคลายจนอยากจะหลับ เธอค่อยๆเอนตัวต่ำลงเรื่อยๆจนต้นคอสัมผัสกับพนักพิงของม้านั่ง กอดอกหลวมๆ รู้สึกอบอุ่นมั่นใจ ก่อนจะค่อยปิดเปลือกตาลงช้าๆ สายลมระบัดไหว และวูบนั้นมันพัดพากลิ่นหอมหวานของความทรงจำกลับเข้ามาทักทาย แสงแดดอุ่นอ่อนและสายลมโชยเอื่อยกำลังขับกล่อมเธอ รู้สึกสบาย ปลอดภัย และเหมือนการเดินทางสิ้นสุดแล้วอย่างไรอย่างนั้น ในนาทีนั้น ตั้งจิตนบรู้สึกตัวเบาสบาย ทุกอย่างถูกปล่อยวาง

“ง่วงนอนรึยังไง” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง และโดยไม่ลืมตามอง ตั้งจิตนบปล่อยเสียงหัวเราะเล็กๆคลอเคล้าปะปนมากับสายลมยามบ่าย

เสียงฝีเท้าหนักๆของผู้มาทีหลังเดินย่ำสวบสาบลงบนพื้นหญ้า ไม่นานร่างสูงเก้งก้างของเขาก็นั่งลงเคียงข้างเธอ

“จะกลับเลยหรือเปล่า พ่อรออยู่นะ” เขาหันไปถาม แต่หญิงสาวข้างตัวยังคงนั่งกึ่งนอนในท่าเดิม และไม่ลืมตา

“ยังน่ะ” เธอพูดออกมาไม่ต่างจากอาการหายใจปกติ มันเป็นลมพลิ้วแผ่วที่พุ่งออกจากปากอย่างเงียบกริบ ชั่วอึดใจเจ้าของแววตาคมกริบเปิดเปลือกตาขึ้น ลำแสงอ่อนๆของแดดยามบ่ายและสายลมร้อนเข้าปะทะจู่โจมสู่ประสาทสัมผัส เธอหรี่ตาอยู่ชั่วครู่แล้วจึงหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มคนข้างๆ ผิวสีแทนของเขากำลังดูดีในแสงแดดยามบ่าย ผมเส้นเล็กสีอ่อนที่สั้นชี้เล่นสีกับแสงธรรมชาติน่าชม

“เหนื่อยเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ตั้งจิตนบส่ายหน้ายิ้มๆ เธอเล่นผมที่สั้นชี้ของเขาโดยขมวดมันเล่นกับนิ้วเล็กๆของเธอ

“แล้วจะยังไงต่อ” อีกประโยคเอ่ยถามขึ้น คราวนี้ตั้งจิตนบไม่ตอบว่ากระไร ไม่มีทั้งอาการ และคำพูด เธอหยุดเล่นผมของเขา ก่อนจะหันหน้าเบือนไปทางอื่น ทิวทัศน์รอบกายชวนให้สดชื่น แต่กระนั้นแสงสีสวยคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก

“เธอไม่ร้องไห้เลยนะ” เขายังคงถาม ผู้ชายคนนี้ช่างขี้สงสัย

“ฉันเสียใจนะ”

“อืม ทุกคนเสียใจ” เขาว่า

“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มีความสุข ที่แม่จากไปอย่างมีความสุข”

“เธอไม่รักท่านเลยหรือยังไง” เด็กหนุ่มหันกลับมาถามสีหน้าจริงจัง

“แม่อยู่อย่างเจ็บปวดทรมาน ตอนนี้แม่ไม่หายใจ ฉันก็ว่าดีกว่าให้แม่รู้สึกเจ็บ” เธอพูดขึ้นเสียงเรียบ ดวงตาเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล

“ฉันรักแม่ และฉันเชื่อว่าแม่จะมีความสุข”

“แล้วจะยังไงต่อ”

“คงต้องไปอยู่กรุงเทพฯน่ะสิ”

“เธอรู้จักเขารึเปล่า คนที่จะไปอยู่ด้วยน่ะ” ผู้ชายขี้สงสัย ตั้งจิตนบหัวเราะกับตัวเอง เด็กหญิงยิ้มเยือกเย็น มุมนึงเขาว่าหล่อนช่างมีรอยยิ้มละม้ายคล้ายแม่ของหล่อนนัก

“ไม่รู้สิ เธอล่ะ รู้จักฉันรึเปล่า”

“ถามอะไร ฉันน่ะเรอะจะไม่รู้จักเธอ เราไม่รู้จักกันเหรอ”

“เพียร เธอยังไม่รู้จักฉันหรอก ยัง” ตั้งจิตนบว่าขึ้น ทำเอาเพียรเลิศนั่งขมวดคิ้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel