บทที่ 5 อย่าริอาจขัดคำสั่ง [2]
เวลา 21.30 นาฬิกาโรมานี่กลับขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่รู้สึกถึงความเงียบผิดปกติ มือหนารีบจัดการไขกุญแจเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าเธอนอนหลับในท่าคุดคู้อยู่ข้างเตียงจึงช้อนร่างบางขึ้นเพื่อพากลับไปนอนบนเตียง
“เธอไม่ควรดื้อกับฉัน รู้ไหมน้ำตาล” โรมานี่พูดกับเด็กสาวซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทราด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อกี้นี้เขาแค่โมโหมากไปหน่อย
“พ่อจ๋า น้ำตาลคิดถึงพ่อ” เด็กสาวผู้น่าสงสารละเมอออกมาโดยไม่รู้ตัวทำเอาคนได้ยินถึงกับชะงักไปก่อนจะก้มลงไปจูบซับน้ำตาเป็นการปลอบประโลม
“อื้อ! คะ...คุณโรม” ดวงตากลมกระพริบตาถี่ๆ พร้อมกับเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยความตกใจ นี่เธอกำลังฝันไปหรือเปล่าที่เห็นว่าเขามานั่งอยู่ตรงนี้
“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามด้วยความเป็นห่วง
“น้ำตาลไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” เจ้าตัวตอบพลางถอยกรูดไปจนชิดหัวเตียง มองหน้าใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายด้วยอาการหวาดหวั่นไม่หาย สิ่งที่เขาทำกับเธอเมื่อเย็นนี้ยังคงติดตาอยู่ตลอดเวลา
“เธอกลัวฉันหรือ” โรมานี่ถามตรงๆ อาการที่เธอแสดงออกมาบ่งบอกได้ดีว่ากำลังกลัว
“เปล่าค่ะ” เด็กสาวปฏิเสธกลับเสียงสั่น
“เปล่าแล้วทำไมต้องหนีไปไกลขนาดนั้น”
“น้ำตาลแค่ไม่แน่ใจว่าคุณโรมหายโกรธน้ำตาลหรือยัง”ชาลิดาบอกด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ
“หายแล้ว แต่จำไว้นะว่าห้ามทำแบบนี้อีก ถ้าฉันพูดหรือบอกอะไร น้ำตาลต้องเชื่อฟังคุณโรม” ชายหนุ่มปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยนขึ้น คุยด้วยเหตุผลจนคนฟังรู้สึกใจชื้นขึ้นมา
“ไม่ได้หนีค่ะ น้ำตาลแค่ตกใจ”
“ลงไปกินข้าวได้แล้ว” โรมานี่บอกในที่สุด
“แต่นี่ดึกแล้วนะคะคุณโรม น้ำตาลไม่หิวแล้วค่ะ”
“ไม่หิวก็ต้องกิน” คนมีตำแหน่งไม่ต่างจากผู้ปกครองทำเสียงดุอีกระลอกเมื่อเห็นว่าเธอยังดื้อรั้นไม่เลิกรา
“น้ำตาลขอดื่มนมแทนได้ไหมคะ น้ำตาลไม่หิวจริงๆ” ปกติเธอไม่เคยกินข้าวมื้อเย็นดึกขนาดนี้มาก่อน
“ตามใจ” โรมานี่ยอมตามใจเจ้าหล่อน พร้อมกับสั่งให้แม่บ้านสูงวัยนำนมสดอุ่นมาให้ที่ห้องนอน
หลังจากที่จัดการกับนมแก้วใหญ่ตามคำสั่งเรียบร้อย ร่างบางก็ทำท่าว่าจะล้มตัวลงไปนอน ยังไม่ทันได้หยิบผ้าห่มขึ้นมาห่ม น้ำเสียงเข้มจากเจ้าของห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เธอยังไม่ได้อาบน้ำนะน้ำตาล”
“เอ่อ...ไม่อาบได้ไหมคะ น้ำตาลง่วง” ชาลิดาร้องขอ ดวงตากลมโตกำลังจะปิดเพราะถูกความง่วงเข้าครอบงำเต็มที่
“ฉันไม่ชอบนอนกอดเด็กตัวเหม็นนะ” คำพูดมาพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“งั้นน้ำตาลไปนอนที่โซฟาก็ได้ค่ะ” เด็กตัวเหม็นลุกขึ้นจากเตียงและตั้งใจจะออกไปจริงๆ ถ้าเขารังเกียจเธอไม่อยู่ใกล้ก็ได้
“ฉันล้อเล่น นอนเถอะ ยังไงตัวเธอก็หอมเพราะเธอคือน้ำตาลหวานของฉัน”
โรมานี่พูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับจับจูงร่างบางให้เดินกลับไปที่เตียงจนเธออดลอบมองด้วยความแปลกใจไม่ได้กับอารมณ์ที่ปรับเปลี่ยนชนิดว่าตามแทบไม่ทัน
“ฝันดี ฝันถึงฉันแค่คนเดียว” สิ้นเสียงชายหนุ่มก็หลับตาลงทันทีปล่อยให้เด็กขี้งอนนอนลืมตามองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยแววตาชื่นชม ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่กลับทำให้เธอรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ทำแบบนี้
เช้าวันใหม่ซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ชาลิดาตื่นแต่เช้ามาใส่บาตรและเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้กับชายหนุ่มแม้ว่าจะมีเสียงทัดทานจากป้าน้อยแม่บ้านสูงวัยที่ทำท่าว่าจะไม่ยอม แต่ก็เจอลูกอ้อนจากเด็กสาวจนนางใจอ่อน
“นี่ถ้าคุณโรมรู้จะไม่ดุป้าเอาเหรอคะหนูน้ำตาล”
“คุณโรมไม่ว่าป้าน้อยหรอกค่ะ น้ำตาลเป็นคนอาสาเอง” ริมฝีปากเล็กส่งยิ้มกว้างให้แม่บ้านสูงวัยคลายกังวล
“ค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นป้าก็สบายใจ”
“เดี๋ยวน้ำตาลไปช่วยจัดโต๊ะนะคะ” ชาลิดาขันอาสาและตรงออกไปจัดแจงตั้งโต๊ะเพื่อรอชายหนุ่มลงมาจัดการกับอาหารในมื้อเช้า
“ลงมาทำไมไม่ปลุกฉันก่อนน้ำตาล” เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนเปิดปากต่อว่า ด้วยข้อหาหนีลงมาโดยไม่ยอมปลุกดังเช่นทุกวัน
“วันนี้น้ำตาลลงช่วยป้าน้อยทำข้าวต้มรวมมิตรให้คุณโรม ลองทานดูนะคะ” เจ้าตัวยิ้มหวาน แล้วเดินไปตักข้าวต้มในหม้อใส่ถ้วยให้
“เธอก็กินพร้อมฉันสิ” โรมานี่กล่าวชวนแม่ครัวตัวน้อย
“ค่ะ” เด็กสาวพยักหน้ารับคำพร้อมกับเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกันกับชายหนุ่ม
“ใครมาแต่เช้า” โรมานี่ถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกริ่งที่ดังอยู่หน้าบ้าน ทันทีที่เจ้านายหนุ่มพูดจบหญิงสูงวัยก็รีบตรงออกไปดูบริเวณหน้าบ้านทันที
“นังโบว์ เอ็งมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?” คำถามมาพร้อมกับสายตาที่เพ่งมองออกไปยังคนที่ยืนอยู่นอกประตูรั้วใกล้ๆ นางจำได้ทันทีว่าเป็นหลานสาวที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดและมาขออาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวระหว่างมาหางานทำในเมืองหลวง
“ป้าเห็นหนูตอนไหน หนูก็มาตอนนั้นแหละ” ผู้มาเยือนทำเสียงจิ๊จ๊ะ โบกมือไปมาบริเวณต้นคอเล็กกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว
“นังนี่! ยอกย้อนไม่เคยเปลี่ยน แล้วดูแต่งตัวเข้าสิ ถ้าคุณโรมเห็นจะว่ายังไง”
หญิงสูงวัยส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับนิสัยทะเยอทะยานของหลานสาวซึ่งมักแต่งตัวโอเว่อร์จนคนในหมู่บ้านต่างก็พากันไม่ชอบหน้า
“วัยรุ่นเขาแต่งกันแบบนี้แหละ ป้าแก่แล้วจะรู้อะไร”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยนะนังโบว์ เดี๋ยวปั๊ดตบปากฉีก” นางพูดพร้อมทำท่าประกอบให้เห็นว่าเอาจริง
“แล้วนี่ป้าจะเปิดประตูให้หนูได้ยัง”
“เออๆ เข้ามา”
แม่บ้านสูงวัยเดินไปเปิดประตูให้หลานสาว พร้อมกับเดินนำหน้าไปทางด้านหลังซึ่งอยู่อีกฝั่งของคฤหาสน์ แต่ยังไม่ทันได้พูดพร่ำทำเพลงคนเป็นหลานก็ทำท่าว่าจะเดินไปหน้าตึกใหญ่เสียแล้ว
“เดี๋ยวนังโบว์ เอ็งกลับมานี่เดี๋ยวนี้”
“อะไรอีกล่ะป้า”
“ถ้าจะเข้าไปทางนั้น เอ็งต้องเปลี่ยนชุดใหม่”
หญิงสูงวัยสั่งพลางไล่สายตามองร่างหลานสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าซึ่งลงความเห็นแล้วว่าไม่ผ่าน กางเกงยีนส์ขาสั้นกุดบวกกับเสื้อสายเดี่ยวสีขาวที่รัดจนหน้าอกแทบทะลักทำให้นางส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ แค่การแต่งตัวก็ทำเอาอยากเป็นลมไปหลายตลบ
“ต้องใส่ยังไงล่ะป้า ทำไม ป้ากลัวว่าเจ้านายป้าจะหัวใจวายตายหรือไง?” บุญตาเท้าสะเอวถามญาติผู้ใหญ่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ไม่ได้กลัวโว้ย เจ้านายป้าน่ะยังหนุ่มแถมหล่ออีกต่างหาก” คำพูดของผู้เป็นป้าทำเอาคนฟังตาลุกวาวขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยถามต่อด้วยท่าทางตื่นเต้น
“แล้วเจ้านายป้ามีเมียหรือยังล่ะ หนูจะได้จับทำผัวซะเลย” คำพูดจากปากของคนอายุเลยวัยรุ่นมาได้ไม่เท่าไหร่ทำให้หญิงสูงวัยหันไปเอ็ดเสียงดัง
“นังนี่ อย่าปากดีให้มากนัก คุณโรมยังไม่แต่งงานก็จริง แต่เอ็งห้ามยุ่งเด็ดขาด ตอนนี้คุณโรมพาว่าที่คุณผู้หญิงของบ้านมาอยู่ด้วย”
แม่บ้านสูงวัยนึกไปถึงเด็กสาวผู้น่าสงสารที่นางเอ็นดู อนาคตจะเป็นหรือเปล่าตนไม่แน่ใจ แต่ความเอ็นดูทำให้แอบเชียร์อยู่ลึกๆ ดูท่าเจ้านายหนุ่มก็หวงมากด้วย
“แล้วไงล่ะป้า ก็ยังไม่ได้แต่งหรือว่าจะได้แต่งหรือเปล่าก็ไม่รู้” บุญตาเบะปากพูดอย่างไม่แยแส
“ถ้าไม่เห็นว่าเอ็งเป็นหลานนะ ป้าจะหาอะไรมาเลาะปากเดี๋ยวนี้เลยนังโบว์ ปากพล่อยจริงๆ ตามมานี่เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ตามป้ามาก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่”
หญิงสูงวัยยื่นคำขาด ส่งผลให้สาวเจนจัดอย่างบุญตาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความขัดใจแต่จำต้องยอมทำตามคำสั่งของผู้เป็นป้าเนื่องจากตอนนี้ยังใหม่สำหรับที่นี่ ไว้รอให้อีโบว์ได้เจ้าของบ้านหลังนี้ทำผัวก่อนเถอะ แม่จะเอาคืนให้เข็ด
“คุณโรมคะ ป้าพาหลานสาวมาให้คุณโรมรู้จักค่ะ” แม่บ้านสูงวัยเดินเข้ามาบอกเจ้านายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บนโซฟาในห้องโถงกว้าง โดยที่ข้างกายมีเด็กสาวอีกคนกำลังนั่งอ่านหนังสือนวนิยายอยู่ด้วย
“ครับป้าน้อย” โรมานี่พยักหน้ารับรู้พลางมองเลยไปยังผู้มาใหม่ที่มีสถานะเป็นหลานของแม่บ้านเก่าแก่
“ไหว้คุณโรมสินังโบว์” นางหันไปสั่งหลานสาวเสียงดุ
“สวัสดีค่ะคุณโรม” บุญตากล่าวคำทักทายพร้อมกับกระพุ่มมือไหว้ด้วยท่าทางอ่อนช้อยมีจริตจะก้านจนผู้เป็นป้าอดมองด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ เวลาอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดเคยเป็นแบบนี้เสียที่ไหน
ชายหนุ่มรับไหว้โดยไม่ได้พูดอะไรและมองสำรวจจนบุญตาทำท่าขัดเขิน แต่สายตาที่ใช้มองหลานสาวของแม่บ้านสูงวัยนั้นไม่แสดงความพิศวาสหรือเสน่หาแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม กลับรู้เท่าทันว่าที่เธอกำลังทำอยู่ไม่ต่างจากละครฉากหนึ่ง
“มาทำอะไรที่นี่ ป้าน้อยบอกฉันว่าเธอมาหางานทำ” โรมานี่เอ่ยถาม
“ค่ะ! หนู เอ่อ...โบว์มาหางานทำค่ะคุณโรม” บุญตาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเนื่องจากมัวแต่มองใบหน้าหล่อเหลาจนเคลิบเคลิ้ม บิดไปบิดมาด้วยอาการเขินอาย
“อยู่ที่นี่อย่าสร้างความเดือดร้อนให้ฉันแล้วกัน จะอยู่จนกว่าจะได้งานทำก็ได้” ชายหนุ่มย้ำ
จริงๆ แล้วเขาไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวายที่คฤหาสน์ส่วนตัวมากนัก แต่เห็นแก่แม่บ้านสูงวัยซึ่งทำงานด้วยกันมานานตั้งแต่ตนยังเด็กจนกระทั่งตอนนี้มารดาไปอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ นางก็ยังคงจงรักภักดีโดยการไม่ตามผู้ให้กำเนิดตนไปหรือลาออก เลือกที่จะอยู่รับใช้ที่นี่
“ขอบคุณมากค่ะคุณโรม” ป้าน้อยกล่าวขอบคุณเจ้านายหนุ่มด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ
“เดี๋ยวนังโบว์ มานี่ก่อน” หญิงสูงวัยเรียกหลานสาวเอาไว้เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวทำท่าจะผละออกไป
“อะไรอีกล่ะป้า”
“ป้าบอกให้เอ็งมานี่” นางสั่งเสียงเข้ม “มารู้จักกับคุณน้ำตาลก่อน”
“หนูน้ำตาลคะนี่หลานป้าค่ะ” แม่บ้านสูงวัยหันไปแนะนำหลานสาว ซึ่งเจ้าตัวก็ส่งยิ้มกลับมาให้อย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะคุณน้ำตาล อ้าว! แล้วคุณน้ำตาลเป็นใครเหรอป้า?” บุญตาแสร้งหันไปจีบปากจีบคอถามผู้เป็นป้าทั้งๆ ที่รู้จักอีกฝ่ายจากคำบอกเล่าก่อนหน้านี้แล้ว
“เป็น...เอ่อ” เจอคำถามนี้เข้าไปก็ทำเอาหญิงสูงวัยตอบไม่ถูกเช่นกัน ซึ่งวงหน้าสวยถึงกับซีดเผือดลงไปเช่นกันเพราะยังไม่รู้สถานะที่แท้จริงของตนเอง
“ว่าไงล่ะป้า คุณน้ำตาลเป็นใครเหรอ” บุญตาถามย้ำอีกครั้ง
“น้ำตาลเป็นเมียฉัน” น้ำเสียงทุ้มที่แทรกขึ้นมาทำเอาทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะคนถามที่ถึงกับอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าคนหล่อลากจะมีเมียเด็กขนาดนี้
“อ้าว! แล้วป้าทำไมไม่บอกหนูแต่แรกเล่าว่าคุณน้ำตาลเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้น่ะ”
บุญตาทำทีเป็นหันไปพูดกับป้าพร้อมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกหญิงสาวเสร็จสรรพ แต่ก็ยังไม่วายเบะปากหมั่นไส้หน้าหวานๆ ด้วยความริษยาที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของคนที่ทะเยอทะยานและใฝ่สูง
“ไม่ต้องเรียกน้ำตาลว่าคุณผู้หญิงหรอกจ้ะโบว์ เรียกน้ำตาลเฉยๆ ก็ได้ เราคงจะอายุเท่าๆ กันใช่ไหม”
“ก็คงจะใช่ค่ะคุณน้ำตาล แต่โบว์หน้าเด็กกว่าคุณน้ำตาลเยอะเลยนะคะ” บุญตาเริ่มออกลายโดยใช้คำพูดไม่ควรต่อหน้าประมุขของบ้าน ซึ่งโรมานี่ก็ตวัดสายตาไปมองด้วยความไม่พอใจ ร้อนจนแม่บ้านสูงวัยต้องรีบลากหลานสาวออกไปตรงนั้นทันที
“มานี่เลยนังโบว์ เอ็งนี่มันปากเสียนัก”
“โอ๊ยป้า เจ็บนะ” คนปากเสียส่งเสียงร้องโวยวายระหว่างทางที่ถูกลากออกไป
