บทที่ 2 น้ำตาลหวาน [2]
ชาลิดารู้สึกตัวอีกครั้งก็ยันกายขึ้นนั่งบนเตียงด้วยอาการเมื่อยขบ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ และนึกขึ้นได้ จึงหันไปดูนาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงและสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาสิบเก้านาฬิกา เด็กสาวรีบฝืนลุกขึ้นพาตนเองไปที่ห้องน้ำกว้างซึ่งอยู่ในบริเวณห้องนอน แต่ลุกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอกับร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากกำแพงมาขวางเอาไว้พร้อมคำถามที่ตามมา
“จะไปไหนน้ำตาล?”
“น้ำตาลอยากกลับไปหาพ่อค่ะคุณโรม” ชาลิดาตอบอีกฝ่ายเสียงร้อนรน ป่านนี้บิดาจะเป็นยังไงบ้าง ท่านอาจกำลังรอการกลับไปของเธออยู่
“ฉันไม่ให้ไป เธอต้องอยู่ที่นี่” โรมานี่สั่งเสียงเข้มจนคนฟังสีหน้าสลดวูบ พยายามรวบรวมความกล้าขอในสิ่งที่ต้องการอีกครั้ง
“ขอน้ำตาลกลับไปหาพ่อบ้างได้ไหมคะ” คนมีสถานะเป็นผู้หญิงขัดดอกอ้อนวอนเสียงเครือเมื่อนึกถึงผู้ให้กำเนิด ถึงท่านจะทำให้เธอต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ก็ตาม
“อย่างอแงน่า” พับผ่าสิ นี่เขาต้องทำเหมือนตัวเองเป็นพ่อปลอบลูกด้วยหรือเปล่า
“แต่น้ำตาลคิดถึงพ่อ”
“นี่ น้ำตาล เธอโตแล้วนะ ทำไมถึงร้องไห้เป็นเด็กๆ อย่าลืมสิว่าเธอตกลงอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก ถ้าไม่อยากให้ฉันไปทวงเงินพ่อเธอก็อย่าดื้อ” โรมานี่ดุ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวร้องจะกลับบ้านท่าเดียวทั้งๆ ที่ตอนแรกยอมรับข้อตกลงเสียดิบดี
“คุณโรมไม่เข้าใจหรอก น้ำตาลได้เห็นแค่หน้าพ่อคนเดียวน้ำตาลก็ต้องรักพ่อสิ”
คนถูกกล่าวหาว่าดื้อโต้กลับ น้ำตาจะไหลรอมร่อ เขาต่างหากเป็นผู้ใหญ่ไร้เหตุผล แค่ขอกลับบ้านไปหาบิดาเท่านั้น
“ฉันเข้าใจ แต่เธอก็น่าจะรู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร” ไม่อยากให้เด็กถูกหาว่ารังแกจึงเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“น้ำตาลต้องเป็นฝ่ายยอมคุณใช่ไหมคะ”
“อย่าพูดแบบนั้น ฉันสัญญา...ถ้าเธออยากได้อะไรฉันจะหามาให้ทุกอย่าง” ใจอยากปราบเด็กพยศ แต่ปากดันปลอบประโลมซะนี่
“จริงๆ เหรอคะ น้ำตาลอยากเรียนหนังสือ ได้หรือเปล่าคะ” ชาลิดารีบปาดน้ำตาที่กำลังไหลทิ้ง อาการดีใจราวกับเด็กได้ของเล่นถูกเข้ามาแทนที่
“เธอจบอะไรมา?” ว่าที่ผู้ปกครองถาม แอบชื่นชมอยู่ในใจที่เธอใฝ่เรียนรู้
“ม. 6 ค่ะ น้ำตาลอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่พ่อไม่ยอม พ่อบอกให้น้ำตาลออกมาช่วยงานในบ่อน” คำบอกเล่านั้นเหมือนกำลังฟ้องอยู่กลายๆ กับอนาคตที่ถูกตัดทอน
“ไว้ฉันจะพาไปสมัคร อยากสอบเข้าที่ไหนล่ะ”
“ที่ไหนก็ได้ค่ะ” เธอตอบเสียงยินดี
“ไปมหา’ลัยเปิดแล้วกัน” โรมานี่แนะนำ ถ้าเธอตั้งใจจะเรียนเขาก็จะทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองส่งเสียให้เธอเรียนจนจบเอง ข้อนี้เขาจะถือว่าอยู่นอกเหนือเงื่อนไขเพราะอยากเห็นอนาคตดีๆ ของเธอ
“ขอบคุณนะคะ คุณใจดีที่สุดเลย” ชาลิดากระพุ่มมือไหว้ขอบคุณคนชายหนุ่มอีกครั้ง แววตาเป็นประกาย อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีในสายตาของเธอ
“ฉันจะดีกับเธอ ตราบใดที่เธอจะไม่โกหกฉัน” คำพูดที่เปล่งออกมาราวกับกำลังเตือนอยู่ในที
“น้ำตาลไม่ใช่คนโกหกหรอกค่ะ” เธอรีบตอบ ใครจะไปอยากทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะกันล่ะ
“ฉันพูดเผื่อเอาไว้ ถ้ามีปัญหาอะไรก็พูดกับฉันตรงๆ”
“ค่ะ ถ้ามีอะไรน้ำตาลจะบอกคุณ” เด็กสาวพยักหน้าตอบตกลงออกไป
“จำไว้นะว่าเธอคือผู้หญิงของฉัน”
“ค่ะ” คำว่า ‘ผู้หญิงของฉัน’ ทำเอาเจ้าตัวก้มหน้างุดซ่อนความเขินอาย กลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายจับได้
“น้ำตาล” โรมานี่เรียกพร้อมกับเอื้อมมือไปเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา
“มีอะไรเหรอคะ?”
“สัญญากับฉัน...ถ้าไปจากที่นี่เธอจะไม่มีใครอีก” เขาสั่งตรงๆ ไม่แคร์ใครจะมองว่าเห็นแก่ตัวก็ตาม จู่ๆ เส้นความหวงก็แล่นพล่านขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“...”
“น้ำตาล สัญญากับฉัน” โรมานี่ย้ำเมื่อเห็นว่าเธอยังคงเงียบ
“ค่ะ น้ำตาลสัญญา” เด็กสาวพยักหน้าตอบตกลง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องตามใจอีกฝ่ายด้วย
“น่ารักมาก ไปอาบน้ำซะ จะได้ลงไปกินข้าวกัน” เขาออกคำสั่ง ในขณะตนเองก็ลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่มีเสื้อผ้าติดกายสักชิ้น สองเท้าเดินไปหยิบชุดคลุมมาสวมลวกๆ แล้วออกไปสูบบุหรี่บริเวณด้านนอกระเบียงห้องนอน
ผ่านไปราวยี่สิบนาทีชาลิดาก็เดินกลับออกมาในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งซึ่งกลายเป็นกระโปรงไปโดยปริยายเมื่ออยู่บนเรือนร่างตนเอง และเจ้าของก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ชายหนุ่มเป็นคนสั่งให้เธอสวมใส่ แถมยังเลือกมาให้เสร็จสรรพ
“ใส่ชุดนี้แล้วน่ารักจัง” เจ้าของเสื้อออกปากชมหลังจากดับบุหรี่ลงและเปิดประตูระเบียงกลับเข้ามา
“คุณโรมชมผู้หญิงทุกคนหรือเปล่าคะ” เด็กรู้ดีย่นจมูกต่อว่า
“รู้ดีจริงๆ นะเด็กน้อย” มือหนาเอื้อมไปขยี้ศีรษะเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดูในความช่างประชดประชัน “ลงไปกินข้าวกันดีกว่า”
เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างของคฤหาสน์หรู ชาลิดาก็รีบขยับออกห่างจากร่างสูงใหญ่ข้างกายด้วยความกลัวว่าจะถูกสายตาแม่บ้านสูงวัยและลูกน้องของชายหนุ่มมองไม่ดี
“นั่งลงสิ” โรมานี่พาเธอเดินไปยังโต๊ะอาหารใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยอาหารชนิดต่างๆ มากกว่าสิบอย่างจนคนมองอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะเอามาเลี้ยงคนทั้งบ้านเลยหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ตอนนี้มีเธอกับเขานั่งอยู่บนโต๊ะแค่สองคน
“ไปเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ชายหนุ่มหันไปบอกลูกน้องที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะหันกลับมาสั่งให้แม่บ้านสูงวัยบ้านตักข้าวใส่จาน
“เอ่อ...คุณโรมยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะคะ” เมื่อเหลือบไปเห็นชุดที่เขาสวมใส่จึงอดทักออกไปไม่ได้
“เดี๋ยวอาบทีเดียว” แม่เด็กน้อยพูดเหมือนเหม็นเขาอย่างนั้นแหละ แบบนี้ยิ่งต้องแกล้งให้เข็ด มือหนาเอื้อมไปตักปลาในจานมาจ่อบริเวณริมฝีปากเล็ก
“น้ำตาลทานเองได้ค่ะ” ใบหน้าจิ้มลิ้มเบี่ยงหนี เธอไม่ใช่เด็กๆ เสียหน่อยที่ต้องมีคนป้อนข้าว
“อย่าดื้อ”
“โรม กลับมาทั้งทีไม่คิดจะบอกมินนี่บ้างเลยนะคะ”
เสียงแหลมดังขึ้นพร้อมกับร่างอวบอิ่มที่ตรงเข้าไปกอดท่อนแขนกำยำอย่างถือสิทธิ์
ชาลิดามองผู้มาเยือนด้วยสายตาที่แสดงความชื่นชม ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวยแล้วก็เซ็กซี่ไปทั้งตัว
“มินนี่”
“ก็มินนี่เองสิคะ แล้วนี่โรมไปพานังเด็กคนนี้มาจากไหนอีกคะ แถมยังกล้าให้มันมาร่วมโต๊ะด้วย ทั้งๆ ที่ควรจะไล่ให้กลับไปได้แล้ว”
มินตราตวัดเสียงไม่พอใจและจิกสายตามองไปทางเด็กที่ว่าแบบไม่เป็นมิตร เธอรู้ดีว่าคู่ควงหนุ่มชอบพาผู้หญิงมาปรนเปรอความสุขอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีคนไหนเสนอหน้านั่งร่วมโต๊ะแบบนี้มาก่อน
“หยุดนะมินนี่” โรมานี่สั่งหญิงสาวเสียงเข้ม
“โรม! อย่ามาดุมินนี่นะ มินนี่พูดอะไรผิด” หญิงสาวกระชากเสียงไม่พอใจที่คู่ควงหนุ่มกล้าดุเธอต่อหน้าบุคคลที่สาม
“คุณมาได้ยังไง ใครอนุญาต?” เขาไม่ตอบคำถามแต่ตั้งคำถามกลับ กับสิ่งที่เจ้าหล่อนถือวิสาสะเข้ามาภายในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ทำไมต้องมีใครอนุญาตด้วย ในเมื่อมินนี่ก็เคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว”
“ผมไม่เถียงว่าคุณเคยมาที่นี่ แต่ตอนนี้ผมไม่ชอบให้ใครเข้าบ้านผมโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก” โรมานี่ต่อว่าตรงๆ จนคนที่นั่งฟังอดมองแขกผู้มาเยือนด้วยความสงสารไม่ได้
“แม้แต่มินนี่งั้นเหรอคะ?” หญิงสาวถามกลับเสียงสูง
“ใช่...แม้แต่คุณ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบจนเจ้าตัวเดือดปุดกับความความสำคัญที่ถูกลดทอนลง
“นี่โรมเห็นนังเด็กนี่ดีกว่ามินนี่เหรอ มันมีอะไรดีกว่ามินนี่ตรงไหน” มินตรากัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ถลึงตาใส่บุคคลที่กำลังเข้ามาเป็นมารหัวใจพร้อมคำถาม “แกเป็นใคร?”
“หนูชื่อน้ำตาลค่ะ” ชาลิดาตอบคำถามด้วยน้ำเสียงและแววตาใสซื่อจนคนมองหมั่นไส้
“หนูบ้านแกเหรอ...ตัวอย่างกับหมู” มินตราทำเสียงเยาะ อีเด็กบ้า กล้าแทนตัวเองมาได้ว่า ‘หนู’
“ถ้าน้ำตาลเป็นหมูคุณก็คือช้างเหมือนกันค่ะ” เด็กสาวสวนกลับไปบ้าง เรื่องอะไรมาว่าเธอก่อนล่ะ
“กรี๊ด! อีเด็กปากเสีย ช้างบ้านแกสิจะสวยแล้วก็อึ๋มขนาดนี้” คนถูกเปรียบเทียบเป็นช้างกรี๊ดลั่นอย่างเสียจริต ช่างยอกย้อนดีนัก เดี๋ยวแม่ได้ตบปากให้ฟันร่วง
“จิมมี่ เข้ามานี่หน่อย” โรมานี่ตะโกนเรียกลูกน้องเสียงดังเมื่อเห็นว่าเรื่องราวกำลังจะบานปลาย
“ครับนาย”
“พามินนี่ออกไปก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยสั่ง
“ครับ” ลูกน้องคนสนิทรับคำสั่งพร้อมกับดันร่างของแขกไม่ได้รับเชิญให้กลับออกไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องไปตลอดทางที่ถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมา
“ปากร้ายไม่เบานะเรา” โรมานี่หันไปมองเด็กปากร้ายที่บัดนี้นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังกล้าเถียงฉอดๆ
“ก็แฟนคุณมาว่าน้ำตาลก่อน”
“มินนี่ก็ไม่ชอบทุกคนที่เข้าใกล้ฉันนั่นแหละ อีกอย่างมินนี่ไม่ใช่แฟนฉัน” ชายหนุ่มอธิบาย ไม่อยากให้เธอเข้าใจอะไรผิดๆ
“ไม่ใช่แฟนแล้วจะหึงได้ยังไงคะ” เธอทำเสียงเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ผู้หญิงก็แบบนี้ เธอเองก็หึงไม่ใช่เหรอน้ำตาลหวาน” คนหลงตัวเองไม่มีใครเทียบยัดข้อกล่าวหามาให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาลิดายอมไม่ได้
“เรื่องอะไรน้ำตาลต้องหึงคุณด้วย”
“อาการแบบนี้แหละเขาเรียกว่าหึง” โรมานี่หัวเราะขำกับอาการของเด็กปากแข็งไม่ยอมรับความจริง
“ไม่จริงค่ะ หนูขอเถียงหัวชนฝาเลย” ชาลิดายังคงเถียงไม่ลดละ แถมยังเผลอแทนตัวเองว่า ‘หนู’ ไปอีก
“ฉันก็ไม่อยากเถียงกับเด็กดื้อหรอกนะ รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ชนะ”
“บ้า น้ำตาลโตแล้วนะคะคุณโรม”
“โตอะไร เมื่อกี้ยังเรียกตัวว่าเองหนูอยู่เลย...อีกอย่างถ้าเกิดเธอเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ ฉันจะไปรับ-ไปส่งเธอเอง”
ยิ่งแบบนี้เขาจะยิ่งปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวก็ตามคนอื่นไม่ทัน ให้เธอตามเขาไม่ทันคนเดียวก็พอแล้ว
“น้ำตาลนั่งรถเมล์ไปเองก็ได้ น้ำตาลนั่งจนชินแล้วค่ะคุณโรม” เธอเอ่ยด้วยความเกรงใจและอายที่ถูกแซวเรื่องเมื่อครู่นี้
“บอกแล้วไงว่าอย่าดื้อ เดี๋ยวคุณโรมคนนี้จะไปรับ-ไปส่ง”
โรมานี่ตัดบทในที่สุดและสั่งให้เด็กจอมดื้อก้มลงจัดการกับอาหารตรงหน้าที่เขาเป็นคนตักมาให้ เธอต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลา เพราะเขาไม่ไว้ใจว่าบิดาของเธอจะเล่นตุกติกอะไรหรือเปล่า กันไว้ก่อนดีที่สุด
