บทที่ 2 ฝ่ามือของดอกบัวขาว
บทที่ 2
ฝ่ามือของดอกบัวขาว
‘จิ๊ๆ เหตุใดนังบ้านนอกถึงได้แต่งกายเช่นนี้เล่า ในนิยายบอกเอาไว้ว่าสวี่ฝูเยว่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเย้ายวนสีแดง แต่งแต้มใบหน้างดงามดั่งดอกไม้สีสันจัดจ้าน อีกทั้งยังชื่นชอบเครื่องประดับหรูหราแวววาวประดับเรือนผมมิใช่หรือ ทำไมถึงไม่เหมือนในนิยาย’
สตรีที่ทะลุมิติมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะปัดความสงสัยทิ้งไป เพราะนี่อาจเป็นผลกระทบจากทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกก็เป็นได้ การมีอยู่ของนางอาจทำให้หลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ใช่ว่านางจะควบคุมไม่ได้
“พี่สาวเจ้าคะ ดอกไม้นี่ข้าตั้งใจร้อยมาให้ท่าน”
สวี่ฝูเยว่พูดพลางถือดอกไม้เข้าไปใกล้ๆ พี่สาว ทว่าสวี่จางลี่ปัดดอกไม้ในมือของสวี่ฝูเยว่อย่างรังเกียจ
“สกปรกอย่าเอามาใกล้ข้า!”
จงใจพูดจาทำร้ายจิตใจ หมายจะเห็นอีกฝ่ายร้องไห้โฮ วิ่งกลับไปที่จวนปิดประตูขังตัวเองจนไม่ออกมาต้อนรับพี่ชายทั้งสองที่เพิ่งเดินทางกลับจากไปเยี่ยมท่านยาย ทำให้พี่ชายทั้งสองรู้สึกไม่พอใจน้องสาว คิดว่าน้องสาวไม่ให้ความเคารพตนเอง
ซึ่งนี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่นางร้ายจะถูกคนในครอบครัวหมางเมิน
หึ!
นางก็แค่ดัดแปลงเนื้อหาที่ควรจะเกิดขึ้นในนิยายนิดๆ หน่อยๆ เพื่อเร่งให้นางร้ายทุกข์ใจจนฆ่าตัวตายไปเสีย!
“พะ...พี่สาว”
นี่อย่างไรเล่า...น้ำเสียงสั่นเครือของสวี่ฝูเยว่ เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงปล่อยโฮออกมา จิ๊! นังบ้านนอกริอ่านมาตีตนเสมอข้า หน้าตางดงามเช่นนี้คงปล่อยเอาไว้นานไม่ได้ ในโลกนิยายแห่งนี้นางต้องโดดเด่นและได้รับความสนใจมากที่สุด ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์โดดเด่นไปกว่านาง!
จังหวะนั้นสวี่ฝูเยว่ก็ยื่นเท้าออกไปเหยียบขยี้พวงมาลัยดอกไม้จนแหลกเละ กลีบดอกช้ำผสานไปกับดินสกปรกไม่น่าดู
สวี่จางลี่ถึงกับผงะด้วยความตกใจและไม่เข้าใจ เพราะไม่คิดฝันว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของนางร้ายที่เวลานี้ควรจะอ่อนต่อโลกโหยหาความรักดั่งคนขลาดเขลา
สวี่ฝูเยว่สืบเท้าเข้าหาในขณะที่จูเจียวปราดเข้าไปกุมตัวหงอีสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนูสามสวี่จางลี่เอาไว้แน่น
“อื้อ! อื้อ!”
หงอีตกใจพยายามดิ้นรนโวยวายแต่ทว่าจูเจียวมีเรี่ยวแรงมหาศาลจึงไม่อาจดิ้นหลุด อีกทั้งจูเจียวยังใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากหงอีเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องโวยวาย
ตรงสวนนี้ค่อนข้างลึกและห่างไกลจากเรือนหลักมากทีเดียว สวี่จางลี่หัวใจหล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม รับรู้ได้ถึงอันตรายจากสตรีตรงหน้าที่นางปรามาสว่าโง่งม
“พี่สาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด น้องสาวยินดีต้อนรับสู่โลกใบนี้เจ้าค่ะ”
ราวกับมีน้ำเย็นเฉียบราดรดจากศีรษะลงมาจดปลายเท้า สวี่จางลี่ตัวแข็ง อ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกโพลง ด้วยไม่คิดว่าจะมีคนรู้ตัวตนของนาง
‘นะ...นี่ไม่เหมือนในนิยายสักนิด กะ...เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดนางฝูเยว่จึงรู้ตัวตนของข้า!’
สวี่จางลี่ค่อยๆ ก้าวถอยหลังหมายจะวิ่งหนี นางมาสวมร่างนางเอกกว่าสิบปี ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาโดยตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้นางล้วนควบคุมได้ทั้งสิ้น
แต่แล้วกลับมีตัวแปรที่ทำให้นางรู้สึกถึงเค้าลางแห่งหายนะ!
“นี่คือของขวัญจากน้องสาวขอมอบให้พี่สาวด้วยความรักเจ้าค่ะ”
สวี่ฝูเยว่แสยะยิ้มก่อนจะใช้มือซ้ายจิกทึ้งกระชากผมอีกฝ่ายเต็มแรง แล้วเงื้อมือขวาตบลงบนใบหน้าของสวี่จางลี่
เผียะ!
เพียงฉาดแรงใบหน้าของจางลี่ก็ถึงกับปรากฏรอยแดงเป็นริ้วๆ
เผียะ!
มือข้างเดิมแต่ตบด้วยหลังมือ จากนั้นจึงตวัดตบกลับลงมาด้วยฝ่ายมือ แล้ววกกลับด้วยหลังมือ ตบไปตบมาเช่นนี้ซ้ำๆ จนเลือดสีแดงชาดไหลกบปาก
“ฮือ...”
สวี่จางลี่ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด เวลานั้นมีเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา สวี่ฝูเยว่จึงปล่อยมือที่จิกทึ้งผมของพี่สาวแล้วผลักอีกฝ่ายจนล้มหงายหลังลงไปกับพื้น ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้จูเจียวปล่อยตัวสาวใช้หงอี
“คุณหนูเจ้าขา!”
หงอีปราดเข้ารับร่างบอบบางของเจ้านายสาวทันที ก่อนจะตวัดสายตามองคุณหนูเล็กด้วยความชิงชัง
“คอยดูเถอะนายท่านทั้งสองต้องไม่ปล่อยคุณหนูเล็กเอาไว้แน่ คุณหนูสามคือดวงใจของทุกคนในตระกูล คุณหนูเล็กกล้าทำเช่นนี้ย่อมไม่อาจหนีพ้นความผิด!”
หงอีตวาดกร้าวเสียงดัง และเสียงของหงอีนั่นเองทำให้ฝีเท้าที่เดินช้าๆ ในตอนแรกเริ่มเดินเร็วขึ้น
ฝูเยว่แสยะยิ้มร้ายหยิบตลับสีผึ้งออกมาแล้วใช้นิ้วป้ายสีฝึ้งสีชมพูหม่นขึ้นมาทาริมฝีปากตนเองส่งผลให้นางดูซูบเซียวดั่งสตรีที่เพิ่งฟื้นไข้ จากนั้นจึงหยิบตลับผงสีน้ำตาลออกมาใช้นิ้วป้ายผงเหล่านั้นเพียงน้อย แต้มไปตามขอบตาและกรอบหน้าทำให้ดูซูบผอมอิดโรย
“เกิดอะไรขึ้น!”
ป๋อสวี่จางหย่งถึงกับผงะเมื่อเห็นบุตรสาวบุญธรรมมีใบหน้าบวมช้ำถึงขั้นเลือดกบปาก ฮูหยินสวี่ยกมือขึ้นทาบหน้าอกก่อนจะปราดเข้าไปประคองบุตรสาวบุญธรรมเอาไว้ในอ้อมอกอย่างหวงแหน
“เกิดอะไรขึ้นลี่ลี่ของแม่ ใครทำร้ายเจ้า!”
“ท่านแม่! ท่านแม่ต้องทวงความเป็นธรรมคืนให้ลี่ลี่นะเจ้าคะ นะ...น้อง น้องสาวทำร้ายลี่ลี่เจ้าค่ะ ไม่รู้น้องเป็นอะไรจู่ๆ ก็เดินมาตบตีลี่ลี่ ลี่ลี่เจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะท่านแม่”
สวี่จางลี่ปล่อยโฮออกมา สะอึกสะอื้นจนตัวโยนเพราะเจ็บจริงๆ เจ็บจนรู้สึกเหมือนฟันในปากโยกแทบจะหลุดออกจากเหงือกอยู่แล้ว
“สารเลว!”
ป๋อสวี่จางหย่งถึงกับสบถคำพรุสวาทใส่บุตรสาวผู้มีสายเลือด ด้วยเขาเลี้ยงดูฟูมฟักบุตรบุญธรรมมาสิบเจ็ดปี ย่อมทั้งรักและเอ็นดูบุญบุตรธรรมมากกว่าบุตรสาวที่เพิ่งพบหน้ากันไม่กี่วัน
