ตอนที่ 6 ตรงไหนได้หมด
ตรงไหนได้หมด
“เฮ้ย! บักเกื้อ เกิดอีหยังขึ้นวะ” (เฮ้ย! ไอ้เกื้อ เกิดอะไรขึ้นวะ) ชนาวุฒิร้องทักขึ้นมาทันที เมื่อคุณพัฒน์กลับมาถึงบ้าน
สายตาของชนาวุฒิมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ที่เขาถอดหมวกกันน็อคออก พร้อมกับสายตาที่มองเขานั้น มีแต่คำถามมากมายที่อยากจะสอบความ และผ้าเช็ดหน้าสีหวานที่เพื่อนมัดปิดหน้านั้นอีก ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของเพื่อนแน่นอน เพราะคุณพัฒน์ไม่ใช่ของสีหวานแบบนี้แน่ ๆ
“อีหยังของมึง” (อะไรของมึง) คุณพัฒน์ได้แต่เลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเพื่อนนั้นจ้องมองเขาแปลก ๆ อย่างจับผิดอีกด้วย
“แค่ไปส่งผู้สาวมาแค่นี้ มึงคือ...” (แค่ไปส่งสาวมาแค่นี้ แต่มึง...) ชนาวุฒิพูดพร้อมกับชี้ไปยังผ้าเช็ดหน้าที่ตอนนี้ตอนนี้เจ้าของดึงลงมาอยู่ที่คอแทน แล้วไหนจะถุงขนมหวานนี้อีก
“เขาให้มา...” คุณพัฒน์บอกพร้อมกับชูถุงขนมไทย ที่มุกดารินทร์ให้มาขึ้นให้แก่เพื่อนดู
“โว๊ะ...บ่ธรรมดาตัวนี้หมู่กู ว่าแต่ไปฮอดไสกันล่ะ ซื่อหยังบอกได้บ้อ” (โว๊ะ...ไม่ธรรมดาเลยนะเพื่อนกู ว่าแต่ไปถึงไหนกันล่ะ ซื่ออะไรบอกได้ไหม) ชนาวุฒิแซวเพื่อนขึ้นมาทันที พร้อมกับถามออกไปอย่างอยากรู้ ว่าเพื่อนเขานั้นจะสานสัมพันธ์กันต่อหรือเปล่า
“บ่” (ไม่)
“บอกแน่ ว่าคนงามนั่นซือหยังกูอยากฮู้” (บอกหน่อย ว่าคนสวยนั่นชื่ออะไรกูอยากรู้) ชนาวุฒิไม่ลดความพยายาม ซักไซ้ถามต่อเพราะต่อมความอยากรู้เกิดทำงานขึ้นมา
“กูบ่บอกมึงดอก” (กูไม่บอกมึงหรอก) คุณพัฒน์รีบบ่ายเบี่ยง และเดินเข้าไปในบ้านทันที เพราะขี้เกียจที่จะตอบคำถามเพื่อน
คุณพัฒน์วางถุงขนมที่หญิงสาวให้มานั้น ไว้ที่โต๊ะอาหารก่อนที่จะเดินถอดกระเป๋าสะพายข้าง ที่ข้างในนั้นเก็บเอกสารสำคัญส่วนตัว เพราะวันนี้พึ่งไปสมัครงานมา
“ขอซิมแน่จักน้อยเด้อ” (ขอซิมหน่อยนิดหนึ่งนะ) ชนาวุฒิยื่นมือออกไปหาถุงขนมของเขาที่วางทันที ที่จึงก็ไม่ใช่ของที่ชอบทานหรอก เพียงแค่อยากจะแกล้งเพื่อนดูเท่านั้นเอง
“บ่ได้ เขาให้กู” (ไม่ได้ เขาให้กู) แต่คุณพัฒน์กลับหวงขึ้นมาจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้กันอยู่ว่าพวกเขานั้นไม่เคยทานอะไรพวกนี้อยู่แล้ว
“หวงบ้อ” (หวงเหรอ)
“เออ”
“หึหึ ว่าแต่คนงามซือหยัง” (หึหึ ว่าแต่คนสวยชื่อไร) ชนาวุฒิเห็นอาการหวงของที่จริงจังของเพื่อน จึงเปลี่ยนเรื่องถามเรื่องชื่อของหญิงสาวที่เพื่อนให้ซ้อนท้ายไปวันนี้ต่อ
เพราะรู้ ๆ กันอยู่ ว่ารถของพวกเขานั้น ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้นั่งซ้อนหรอก ขนาดเพื่อนผู้หญิงที่เรียนมาด้วยกันยังไม่มีวาสนาได้ซ้อนเลย แต่วันนี้ชนาวุฒิกลับทอดสะพานหญิงสาวให้ได้ซ้อนท้ายรถของเพื่อน
“มุกดา!”
“ว้าววว... อีหล่ามุกดาของอ้ายเกื้อ” (ว้าววว... น้องมุกดาของพี่เกื้อ) พอรู้ว่าหญิงสาวนั้นชื่ออะไร แต่ชนาวุฒิก็ยังไม่หยุดแซวเย้าแหย่ให้เพื่อนเขิน
“บักห่านี่ สิกินบ่กิน” (ไอ้ห่านี่ จะกินไม่กิน) คุณพัฒน์รีบยื่นถุงขนมนั้นไปให้เพื่อน เพราะกำลังปิดบังอาการเขินอาย
“กิน”
“หึ ผ่าเซ็ดหน่าคงสิหอมคักน้อ บ่ยอมถอดออกเลย” (หึ ผ้าเช็ดหน้าคงจะหอมมากเนอะ ไม่ยอมถอดออกเลย) ชนาวุฒิแซวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมองไปยังคอของเพื่อน
“เสือก” คุณพัฒน์เอ็ดไป แล้วจึงแกะผ้าออกมายัดไว้ในกระเป๋ากางเกงแทน
“ได้ผู้สาวแล้วเฮ็ดเป็นลืมกูนะมึง” (ได้ผู้หญิงแล้วทำเป็นลืมกูนะมึง)
“บ่ทันได้” (ยังไม่ทันได้)
“แล้วได่ขอเบอร์โทรฯไว้บ่” (แล้วได้ขอเบอร์โทรฯไว้ไหม) ชนาวุฒิจึงถามกลับไปอีกครั้ง
“บ่ได่ขอ ไผสิกล้าขอว่ะ” (ไม่ได้ขอ ใครจะกล้าขอว่ะ) เขาตอบออกไปตามตรง เพราะไม่กล้าพอที่จะขอเบอร์โทรฯของเธอ แม้แต่หน้ายังไม่กล้าสบตาเลย แล้วจะเอาความกล้าที่ไหนไปขอช่องทางการติดต่อกับเธอ
“อ้าว กระจอกแท้ แล้วสิติดต่อเขาได้จังใด” (อ้าว ใจเสาะจัง แล้วจะติดต่อเขาได้ยังไง)
“คงสิบ่ได้พ้อกันอีกดอก กรุงเทพตั้งใหญ่...ขันพ้อกันอีกกะคงสิเป็นพรมลิขิตแล้วว่ะ” (น่าจะไม่ได้เจอกันอีกหรอก กรุงเทพออกจะกว้าง...ถ้าเจอกันอีกก็คงจะเป็นพรมลิขิตแล้วว่ะ) เขารีบเอ่ยออกมาทันที เพราะคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
“พรมลิขิตอีหยังอีกสองคนนี้” (พรมลิขิตอะไรอีกสองคนนี้) ชญานุชที่พึ่งจะกลับมา เมื่อได้ยินน้องคุยกัน จึงแทรกขึ้นมาบ้าง
“แซวบักเกื้อเล่นซือ ๆ พอดีมื้อนี้มันได้สาวซ้อนท้ายรถไปนำ” (แซวไอ้เกื้อเล่นเฉย ๆ พอดีวันนี้มันได้สาวซ้อนท้ายรถไปด้วย) ชนาวุฒิจึงตอบพี่สาวออกไปตามตรง
“อีหลีบ้อ” (จริงเหรอ) หน้าคนที่ได้ยินคำตอบ ตาลุกวาวขึ้นมาทันที เพราะตื่นเต้นปนความดีใจ หากว่าน้องจะเปิดใจคบใครสักคน
“แค่บังเอิญซือ ๆ เอื้อย” (แค่บังเอิญเฉย ๆ พี่) คุณพัฒน์รีบตัดบท
“คุยอะไรน่าสนุกจัง” ธนภัทรที่แวะมาส่งเลขาสาว เอ่ยขึ้นมาบ้าง เมื่อกำลังจะกลับออกไป แต่เมื่อเห็นว่าน้องชายของเธออยู่ จึงลงมาจากรถ แล้วเดินเข้ามาภายในบ้านของเธออย่างถือวิสาสะ
“คุณภัทรยังไม่กลับอีกเหรอ” ชญานุชหันไปถามเจ้านายหนุ่ม เพราะไม่คิดว่าเขาจะยังอยู่
“เย็นนี้ตั้งใจจะมาฝากท้องกับคุณ แล้วก็น้อง ๆ ด้วย” เขาเอ่ยบอกเธอถึงจุดประสงค์ของตน แล้วจึงหันไปเอ่ยกับสองหนุ่มต่อเพื่อขออนุญาต “พี่อยู่ทานข้าวด้วยได้หรือเปล่าเกื้อวุฒิ”
“ผมไม่มีความเห็นครับ แล้วแต่เจ้าบ้านเลย” คุณพัฒน์เอ่ยตอบออกไป แล้วหันหน้าไปมองทางพี่สาวของเพื่อน
“อาหารอีสานนะคะ คุณจะทานกับพวกเราได้เหรอ” ชญานุชเปรยขึ้นบอกเจ้านายหนุ่ม เพราะมื้อนี้ พวกเธอตั้งใจจะทำอาหารบ้านเกิดกินกัน
“ไม่ลองไม่รู้” เขาพูดแบบนั้น ก็เดินไปนั่งลงที่โซฟากลางห้องทันทีอย่างสบายใจ โดยไม่สนใจว่าหน้าเจ้าบ้านจะแสดงกิริยาออกมาแบบไหน
“อ้ายกินเหล้าขาวนำหมู่ผมบ่” (พี่ดื่มเหล้าขาวกับพวกผมไหม) ชนาวุฒิถามเจ้านายของพี่สาวขึ้นมาทันที เป็นภาษาบ้านเกิดเพราะความเคยชินที่พูดกับคนสนิท
“บักวุฒิ!” (ไอ้วุฒิ!) ชญานุชที่ได้ยินในสิ่งที่น้องชายเอ่ย ก็ตวาดเสียงขึ้น พร้อมกับค้อนใส่น้องชายทันทีอย่างคาดโทษ
“ดุน้องทำไม” ธนภัทรหันมาเอ็ดเธอ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ดุน้องชาย ก่อนจะหันไปพูดกับชนาวุฒิต่อ “ปกติพี่ก็กินนะ แต่วันนี้ขับรถมาเองคงต้องปฏิเสธ ขืนพี่กินเหล้ากับพวกเรา พี่คงต้องได้ค้างที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านจะให้พี่ค้างด้วยหรือเปล่า” ขณะที่ปากพูดกับน้องชายเธอ แต่สายตากับมองมาทางเลาสาว
“ไม่คะ” เธอรีบปฏิเสธทันควัน เมื่อเขาหาข้ออ้างมาค้างที่บ้านเธอ
“โถ่เอื้อย มื้ออื่นวันหยุด ให้อ้ายเพิ่นค้างนำเถาะ นอนหม่องนี้นำกันกับหมู่ข่อยกะได้” (โถ่พี่ พรุ่งนี้วันหยุดให้พี่เขาค้างด้วยเถอะ นอนตรงนี้กับพวกผมก็ได้) ชนาวุฒิรีบแย้งขึ้นมา แล้วชี้บอกพี่สาวว่าให้เขานอนที่กลางห้องด้วยกันกับพวกเขาก็ได้
เพราะบ้านหลังนี้ เป็นเพียงบ้านจัดสรรบังกะโลหลังไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก มีเพียงแค่หนึ่งห้องนอนที่มีห้องน้ำภายในตัว หนึ่งห้องโถงรับแขก และมีครัวแยกโซนออกไปอีก ถัดไปก็จะเป็นห้องน้ำใหญ่
“คุณภัทรจะนอนตรงนี้กับพวกน้อง ๆ ได้เหรอคะ” เธอจึงถามเจ้านายหนุ่มขึ้นมา
“ผมไม่เกี่ยงที่หรอก นอนตรงไหนก็ได้หมดแหละ” เขาบอกเธอออกไปตามตรง เพราะลำบากกว่านี้ก็เคยนอนมาหมดแล้ว นับประสาอะไรแค่พื้นห้องรับแขก
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายคะ วุฒิไปหุงข้าว” เมื่อไม่กล้าที่จะเอ่ยไล่เขา เธอจึงต้องยอมแล้วเอ่ยสั่งน้องชายออกไป ให้ไปช่วยคุณพัฒน์อยู่ที่ครัว
