ตอนที่ 2 บ่าวอีสานผลัดถิ่น
บ่าวอีสานพลัดถิ่น
“เกื้อ บักเกื้อ แย่แล้ว...” (เกื้อ ไอ้เกื้อ แย่แล้ว...) เสียงดังโหวกเหวกตะโกนเรียกชื่อเขามาแต่ไกล
วันนี้เขาออกมาทำงานที่ร้านซ่อมรถของลุงสมบูรณ์ ที่เป็นร้านรับซ่อมเครื่องยนต์ทุกชนิด ซึ่งตั้งอยู่ทางเข้าหน้าหมู่บ้าน ตามปกติดังเช่นทุกวันที่ร้านเปิด
ชนาวุฒิ คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว ที่ยังคงเทียวไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด เพราะเพื่อนคนอื่น ๆ ต่างก็พากันมีครอบครัวไปจนเกือบหมดแล้ว บ้างก็แยกย้ายไปหาทำงานที่ต่างจังหวัด...
“มีหยังบักวุฒิ” (มีอะไรไอ้วุฒิ) เขาถามเพื่อนออกไปด้วยความงุนงง ที่จู่ ๆ ก็ตะโกนเรียกเขามาสะเสียงดัง จนคนที่ร้านแทบจะแตกตื่น
“แม่ แม่มึงแย่แล้ว...”
“แม่...”
เพียงแค่เห็นอาการตื่นตระหนกของชนาวุฒิ และได้ยินคำพูดตะกุกตะกักพูดไม่ออกเท่านั้น เขาละทิ้งทุกอย่างตรงหน้าไว้ แล้วรีบบิดรถมอเตอร์ไซค์คู่กายไปยังบ้านของเขาทันที
แต่เมื่อไปถึง กลับมีชาวบ้านมากันเต็มแล้ว ใจแกร่งหล่นวูบลงที่ตาตุ่มทันที และเมื่อเดินเข้าไปภายในบ้าน น้ำตาลูกผู้ชายกลับล่วงลงมาราวเขื่อนแตก เมื่อร่างที่นอนแนบนิ่งไร้ลมหายใจของมารดานั้น ได้จากโลกนี้ไปแบบไม่มีวันกลับ แถมไม่เอ่ยลาเขาเลยสักคำ
“แม่...แม่คือบ่ถ่าเกื้อ ฮืออออ” (แม่...แม่ทำไมไม่รอเกื้อ ฮืออออ) เสียงสะอื้นพร่ำออกมาด้วยความเสียใจ ที่ผู้ไปมารดาจากไปแบบไม่ยอมร่ำลา ถือบอกอะไรเขาไว้เลย
หลังจากงานศพของคำหล้าผ่านพ้นไป ก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งเดือนแล้ว ที่คุณพัฒน์ต้องอยู่ตามลำพังที่บ้านเพียงคนเดียว ชายหนุ่มหยิบรูปถ่ายใบเล็กเก่า ๆ ที่มีพ่อและแม่ของเขาถ่ายด้วยกันตอนที่เขายังไม่เกิด
“พ่อสิฮู้บ่ ว่ามีเกื้ออยู่ในท้องของแม่ แล้วเป็นหยังพ่อคือบ่มาเบิ้งแม่กับเกื้อเลย เกื้อหวังว่าตอนนี้พ่อสิยังมีชีวิตอยู่เด้อ” (พ่อจะรู้ไหม ว่ามีเกื้ออยู่ในท้องของแม่ แล้วทำไมพ่อถึงไม่มาหาแม่กับเกื้อบ้างเลย เกื้อหวังว่าตอนนี้พ่อจะยังมีชีวิตอยู่นะ)
คุณพัฒน์เอ่ยกับรูปภาพใบเล็กที่เป็นภาพของมารดากับบิดาผู้ให้กำเนิดของเขา ที่คำหล้าผู้เป็นแม่นั้นทิ้งไว้ให้เขา พร้อมกับสร้อยและแหวนทองคำ น้ำหนักอย่างละหนึ่งสลึงไว้ให้ พร้อมกับจดหมายฉบับเล็ก ซึ่งเขียนด้วยลายมือของคำหล้า
‘แม่ไม่มีสมบัติติดตัวอะไรมาก นอกจากสร้อยและแหวนวงนี้ ที่แม่รักมากที่สุด ไว้ให้เกื้อเก็บไว้เผื่อยามจำเป็น...แม่ฮักเกื้อหลายเด้อ ดวงใจของแม่ *คำหล้า’
เพียงแค่คำสั้น ๆ ก็ทำเอาน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอีกครั้ง และนั่งคิดทบทวนอยู่กับตัวเอง ว่าจะเอาอย่างไรต่อ กับชีวิตที่ยังมีลมหายใจอย่างโดดเดี่ยวของเขา
“เกื้อว่าจังใดนะ!” (เกื้อว่าอะไรนะ!) เสียงทุ้มอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ เมื่อได้ยินในสิ่งที่คุณพัฒน์เดินมาบอก หลังจากที่หยุดงานไปหลายวัน
สมบูรณ์ ชายวัยกลายคนอายุ สี่สิบต้น ๆ ซึ่งเป็นญาติกันห่าง ๆ กับมารดาของคุณพัฒน์ ที่แต่งงานมีครอบครัวกับคนในพื้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ และย้ายมาอยู่ที่หมู่บ่านนี้อย่างถาวร จนมีกิจการเป็นของตัวเอง
“ข่อยสิไปหางานเฮ็ดที่กรุงเทพฯครับลุงบูรณ์” (ผมจะไปหางานทำที่กรุงเทพฯครับลุงบูรณ์) คุณพัฒน์เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“โตคิดดีแล้วแม่นบ่” (นายคิดดีแล้วใช่ไหม)
“ครับ”
“ขันโตตัดสินใจดีแล้ว ลุงกะบ่มีสิทธิ์หยัง ที่สิไปห้ามโตได้ดอก สิไปมื้อใดละ” (ถ้านายตัดสินใจดีแล้ว ลุงก็ไม่มีสิทธิ์อะไร ที่จะไปห้ามนายได้หรอก แล้วจะไปวันไหนละ)
“อีกสองมื้อครับ ไปพร้อมหมู่” (อีกสองวันครับ ไปพร้อมเพื่อน)
“บักวุฒิบ้อ ลุงขอให้โตโชคดีเด้อ” (ไอ้วุฒิเหรอ ลุงขอให้นายโชคดีนะ)
“ขอบคุณครับ”
และวันที่คุณพัฒน์ต้องเดินทางมาถึง เขาเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครด้วยรถจักรยานยนต์คู่ใจ คนละคันกับเพื่อนที่สนิทกันหนึ่งคนนั่นก็คือ ชนาวุฒิที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ เพราะเพื่อนคนอื่น ๆ ต่างก็มีครอบครัวกันไปแล้ว บ้างก็เข้ามาศึกษาและทำงานที่กรุงเทพตั้งแต่อายุสิบแปดแล้ว
เดิมทีเขาตั้งใจจะเดินทางมาคนเดียว แต่เมื่อชนาวุฒิทราบข่าวว่าเขาจะมาหางานที่เมืองหลวง จึงได้ตามเขามาด้วย เพราะพี่สาวเคยบอกให้มาหางานทำตั้งแต่เขาเรียนจบใหม่ ๆ แล้ว แต่เขาที่ยังรักสนุกในชีวิตของวัยรุ่น ติดเพื่อน ติดเที่ยวก็ไม่ยอมมาตามคำขอของพี่สาวสักที
จนคุณพัฒน์ไปบอกลาว่าจะมาหางานทำ เขาจึงเปลี่ยนใจกะทันหันตามคุณพัฒน์มาด้วยทันที โดยไม่สนคำค้านของใครเลย แม้แต่มารดาและบิดาที่ขอเขาอยู่หลายหนแล้ว แต่แค่ได้ยินว่าคุณพัฒน์จะมาแค่นั้นแหละ ก็ตามมาทันที โดยที่บิดามารดาและพี่สาวไม่ต้องเอ่ยปากบอกเลย...
และชนาวุฒิเอง ก็มีพี่สาวที่ทำงานและมีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่นั่นด้วย จึงพาเขาไปหาพี่สาวก่อนเพื่อตั้งหลักกัน แล้วค่อยคิดอีกทีเรื่องที่จะหางานทำ
ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว ที่คุณพัฒน์และชนาวุฒิเดินทางมาถึง ชนาวุฒิจึงพาเขาไปที่บ้านของพี่สาวเขาก่อน
“คืนนี้ กะนอนนี้ไปก่อน จนกว่าเกื้อกับวุฒิจะหางานเฮ็ดได้ ค่อยย้ายออก” (คืนนี้ ก็นอนที่นี่ไปก่อน จนกว่าเกื้อกับวุฒิจะหางานทำได้ ค่อยย้ายออก) เสียงหวานของหญิงสาวเอ่ยบอก พร้อมกับถือหมอนผ้าห่มออกมาจากห้องให้ชายหนุ่มทั้งสอง
ชญานุช พี่สาวในวัย 30 ปี ของชนาวุฒิ ที่เข้ามาศึกษาอยู่ที่นี่ตั้งแต่จบระดับชั้นมัธยมปลาย จนจบในระดับปริญญาตรี และได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนทันที จนตอนนี้ตั้งตัว มีทรัพย์สิน มีรถและมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว
“ขอบคุณเอื้อยนุชหลาย ๆ เด้อครับ” (ขอบคุณพี่นุชมาก ๆ เลยครับ) คุณพัฒน์เอ่ยขึ้น พร้อมยกมือขึ้นไหว้เป็นการขอบคุณพี่สาวเพื่อน
“บ่เป็นหยังเลย เฮาคนบ้านเดียวกัน เกื้อเป็นหมู่วุฒิ กะคือเป็นน้องซายของเอื้อยคือกัน พักผ่อนเถาะขาดเหลืออีหยังกะบอกได้เด้อ บ่ต้องเกรงใจ” (ไม่เป็นไรเลย เราคนบ้านเดียวกัน เกื้อเป็นเพื่อนวุฒิก็เหมือนเป็นน้องชายของพี่เหมือนกัน พักผ่อนเถอะขาดเหลืออะไรก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ)
ชญานุชบอกเพื่อให้เขาสบายใจ แล้วเดินเข้าห้องนอนของเธอทันที เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เธอต้องไปทำงานอีก
