2
“หนูพรรณ” เสียงพี่ไก่เรียกที่มุมอับมุมหนึ่งในชั้นที่ทำงาน “งานที่พี่ส่งให้คราวก่อน”
“พรรณกำลังจะออกมาถามพี่ไก่อยู่พอดีเลยค่ะ”
“พี่จะส่งต่อให้หนูทำหมดเลยนะ พี่ไม่รับทำแล้วล่ะ”
พี่ไก่ หัวหน้างานของเธอกำลังพูดถึงงานบัญชีที่เธอและไก่รับทำด้วยกันมาตลอด ได้ยินว่าที่นี่กำลังจะออกกฎ ห้ามไม่ให้พนักงานรับทำงานนอก
“ถ้าผู้ใหญ่ออกระเบียบใหม่อย่างที่ลือเอาไว้จริง หนูก็ระวังหน่อยนะ ถ้าเลือกได้ พี่ว่าหนูลองเลือกดูว่าจะออกไปทำฟรีแลนซ์อย่างเดียวไหม ไม่ก็งดงานพวกนั้น แล้วทำแต่งานหลักของที่นี่”
“พรรณคงไม่ทิ้งงานที่นี่ไปหรอกค่ะ”
แม้เงินที่เธอได้จากงานฟรีแลนซ์จะมากกว่างานประจำก็ตามที กระนั้นก็ไม่ได้มั่นคงไปกว่ากัน
ไก่อ้าปากจะพูดอะไรอีก แต่พอดีมีพนักงานเดินผ่านมาเสียก่อน จึงต้องแยกย้ายกันไปทำงานต่อจากนั้น
ร้านอาหารของป้าหนุ่นไม่ใช่ร้านใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตบ้านของแกเอง ที่มีพื้นที่ค่อนข้างเยอะที่กันไว้เป็นสวนผักและสวนผลไม้ บริเวณร้านสร้างเป็นอาคารสองชั้น รองรับลูกค้า รอบบ้านเป็นต้นไม้ใหญ่จำพวกก้ามปู หางนกยูง พะยอม ตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ขนาดเล็กอีกหลากสายพันธุ์ ให้ความร่มรื่น สบายตาอยู่ไม่น้อย
ที่นี่ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไรนัก พรรณวษานั่งรถมาพร้อมเอื้อมพร ส่วนคนอื่น ๆ มีรถเป็นของตัวเอง ไม่ก็เกาะติดกันมาเป็นกลุ่มก้อน
เสียงคุยจอแจครึกครื้นทีเดียว ภายในร้านมีโต๊ะของพวกเธอเป็นกลุ่มใหญ่สุด เจ้าของร้านคือป้าหนุ่นเอง สนิทสนมกับกลุ่มของพวกเธอไม่น้อย ท่านเห็นว่ายกกลุ่มกันมา จึงแยกที่นั่งให้ตรงมุมสวน บรรยากาศตรงนั้นดีทีเดียว ค่อนข้างส่วนตัว มีโทรทัศน์ให้รับชมรายการหรือละครตามแต่จะเลือกดู ที่สำคัญไม่รบกวนแขกโต๊ะอื่นอีกด้วย
สั่งอาหารกันไปแล้ว สาวรุ่นน้องสามสี่คนข้าง ๆ พรรณวษาตามองข่าวในโทรทัศน์อยู่ครู่หนึ่ง ก็ก้มหน้าลงคุยกันด้วยเสียงที่ไม่เบาเท่าไรนัก
“ดูข่าวนี้แล้วฉันกลัวเลยอะ ลุงข้างบ้านก็เคยถูกหลอกแบบนี้เหมือนกัน”
“หลอกยังไงหรือ แล้วทำไมถึงได้ยอมขนเงินไปให้เขาแบบนั้นอะ ฉันไม่เข้าใจ”
“เท่าที่ฟังมานะ เห็นว่าเป็นเหมือนสมาคม ไม่ก็ลัทธิ พวกนอกศาสนาอะไรทำนองนี้แหละ แล้วก็ให้ทิ้งของติดตัวมาในกองกิเลส ลุงข้างบ้านฉันถูกหลอกยังไงก็ไม่รู้ แกกลับบ้านปุ๊บ ออกไปปิดบัญชีปั๊บ แล้วก็เอาเงินไปให้พวกนั้นจนหมดตัวเลย ทุกวันนี้กลับบ้านไม่ได้แล้ว เมียรอด่า ลูกก็จะเอาเรื่อง ไม่รู้แกหายไปไหน ถูกฆ่าตายอยู่ในนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“น่ากลัวจัง”
พรรณวษายังจ้องข่าวในจอ หูของเธอก็ฟังน้องในแผนกวิจารณ์ข่าวด้วยแววตาสงบนิ่ง แต่ในใจบังเกิดความกังวลอยู่พอสมควร จนจบสกู๊ปข่าวเมื่อครู่ น้องที่นั่งคุยกันอย่างเมามันก็ไถหน้าจออ่านอะไรกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงร้องเสียงหลงขึ้นมาว่า
“นั่นไง ว่าแล้วเชียว ในที่สุดเขาก็เลิกกัน”
อีกคนที่นั่งข้าง ๆ ร้องถามอย่างสนใจ “ใครหรือ ไหนเอามาดูหน่อย”
“จะใคร” คนนำเรื่องมาคุยลากเสียงตอบอย่างสะใจ แล้วเฉลยในนาทีต่อมา “ก็คุณเอสกับยัยดาด้าดีดี้อะไรนั่นไงล่ะ”
“ว้าย! จริงหรือ สามีแห่งชาติของเราเลิกกับเมียแล้วจริง ๆ หรือ ตายแล้ว ๆ ฉันต้องรีบกลับไปมาส์กหน้าด่วนเลย จะได้สวยทันพรุ่งนี้ เขาคงจะว่างมารับฉันไปดูหนังกินข้าว แอร๊ย ฉันรักคุณเอส ฉันอยากได้สามีแบบนี้”
สาวอีกคนร้องเพลงรับอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ยินข่าวที่เพื่อนนำมาพูดในวงอาหาร “ซอมเบิ่งอยู่เด้อ ถ้าหากว่าเธอนั้นเลิกกันกับเขา”
“ฉันก็ชอบคุณเอสนะ ผู้ชายอะไรไม่รู้ ยิ่งมีอายุก็ยิ่งหล่อ แกดูสายตาที่เขามองฉันตอนมาส่งเมื่อเช้านี้สิ มันอบอุ่นไหม น้ำเสียงที่คุยกับฉันก็ละมุนหู ฉันแพ้ทางผู้ชายแบบนี้อะแก”
“เพ้อเก่งนะยะพวกหล่อนเนี่ย คุณเอสเขามาส่งหล่อนตอนไหนยะ ตื่นค่ะลูกตื่น!”
พรรณวษาหันหน้าหนีจากบรรดาสาวรุ่นน้องที่พูดคุยกันเรื่องของคนอื่นอย่างสนุกปาก ยื่นมือออกจัดแจงเลื่อนจานอาหารที่พนักงานนำมาบริการ ส่งให้น้องในแผนกกินกันก่อน เมื่อที่เหลือทยอยยกมาจนครบ จึงลงมือกินตามหลังไป เสร็จเรียบร้อย ค่อยร่ำลา เตรียมกลับบ้านใครบ้านมันหลังจากนั้น
“หยุดยาวห้าวัน หวังว่าจะไม่มีใครลาเพิ่มอีกนะจ๊ะเด็ก ๆ”
“ค่ะพี่เอื้อม” เสียงตอบรับดังเซ็งแซ่ที่หน้าร้านอีกครั้ง เอื้อมพรรับไหว้เด็กในแผนก แล้วโบกมือลาให้แยกย้ายกันกลับบ้านดี ๆ
“ไปลูกไป กลับบ้านกันได้แล้ว อิ่มไหม ใครไม่อิ่มไปกินต่อที่บ้านพี่เลย”
“พี่เอื้อมชวนจริงหรือเปล่า หนูไปจริง ๆ นะคะเนี่ย”
“พี่ให้ไปทุกคน ยกเว้นเรา” เอื้อมพรเย้ากับน้องคนช่างเจรจาแล้วค่อยหันบอกเธอ
“พรรณกลับกับพี่นะ”
“ค่ะ พรรณลงตรงปากทางนี่ก็พอนะคะ”
พรรณวษาขอลงที่ป้ายรถประจำทาง ยืนรอไม่นาน รถประจำทางสายที่ผ่านซอยบ้านก็เข้ามาจอดเทียบ โชคดีมีที่นั่งว่างอยู่ จึงได้โอกาสนั่งมองการจราจรที่ไม่แน่นขนัดเท่าไรนักในเวลาเช่นนี้ ใจลอยคิดไปถึงเรื่องของตัวเอง รวมไปถึงเรื่องราวของคนรอบข้างรอบตัวของเธอ
ไม่นานก็ถึงปากซอยเข้าบ้าน จึงลงเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงหน้าบ้าน เห็นท้ายรถหรูสัญชาติเยอรมันจอดนิ่งตรงประตูรั้ว เลยรีบสาวเท้าตรงเข้าไปหาในทันที
ใส่กุญแจไข ก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายคงหากุญแจจนเจอ เพราะในบ้านสว่างจ้าทีเดียว เดินเข้ามาแล้วก็แทบล้มไปกองที่พื้น เมื่อมีคนกระโดดโถมใส่ กอดเธอจากทางด้านหลังอย่างไม่ให้ได้ตั้งตัวเอาเสียเลย
