๓ ตื้อเท่านั้น (๓)
“กลับกันได้หรือยัง นายจะอยู่ต่อไหมเดี๋ยวให้คนมารับ...” เมื่อได้ยินพี่ชายพูดเช่นนั้นจึงรีบลุกทันที แล้วเดินมายืนข้างปีแสงพร้อมโบกมือลาเพื่อนสนิทของตัวเอง
“กลับครับ กลับแล้ว...ไปก่อนนะ” สบตากันอย่างมีเลศนัย
แต่พี่ชายของพวกตนกลับไม่เข้าใจความหมาย แล้วคิดว่าทั้งสองอาจคบหามากกว่าเพื่อน ตะวันฉายยิ้มกริ่มแล้วมองน้องสาว ขณะที่ปีแสงรีบเดินไปทางรถยนต์ที่จอดด้านหน้า มีน้องชายเดินตามเป็นเด็ก
“อื้อ!”
พี่ชายของหล่อนเดินมากอดคอน้องสาวเอาไว้ ถึงจะคนละแม่และเขามีความแค้นส่วนตัวกับมารดาขอหล่อน ก็รู้ดีว่าแม่ลูกเป็นคนละคน ไม่อาจเอาความผิดของคุณทัศนียา ไกรวรวงศ์อดีตคุณผู้หญิงของบ้านมาโยนใส่คนอายุน้อยกว่าได้
ดรุณีไม่รู้เรื่อง…
อีกทั้งนิสัยก็น่ารักสดใส จนอดไม่ได้ที่จะเอ็นดู เขามีน้องสาวแสนน่ารักขนาดนี้จะถือทิฐิทำไมล่ะ
“มองตามตาละห้อย คิดถึงเพื่อนหรือไงเรา...พี่ไม่ได้ห้ามเรื่องความรักหรอกนะแต่อยากให้ระวังเรื่องความใกล้ชิดหน่อย ยังไงเหนือก็เป็นผู้ชายถึงจะคบกันก็เถอะ”
ใบหน้าหวานหันขวับมามองพี่ แล้วยกมือหนาออกจากไหล่ของตน พร้อมย้ำชัดถึงความสัมพันธ์ของตนกับแสงเหนือ
อธิบายไปหลายรอบแล้วกลับไม่มีใครเชื่อสักคน จนบางครั้งก็ไม่อยากพูด ปล่อยคนอื่นคิดไป ความจริงเป็นอย่างไรเราต่างทราบดี
“ไม่ได้คบค่ะ เน่กับเหนือเป็นเพื่อนกัน แล้วเน่ก็ไม่ได้คิดอะไรกับเหนือสักนิด มีแค่ความเป็นเพื่อนอย่างเดียวเลย” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ไม่ค่อยเชื่อคำพูดนั้นของน้องเท่าไหร่
“ผู้หญิงกับผู้ชาย...เป็นเพื่อนกันได้ด้วยเหรอ”
“ได้ค่ะ เน่กับเหนือไงคะเพื่อนกัน”
พูดจบก็เดินเข้าบ้านพร้อยรอยยิ้มกว้าง ปล่อยให้ตะวันฉายมองตามแล้วค่อยเดินตามหล่อน ไม่ค่อยเชื่อในคำพูดนั้นเท่าไหร่
เพราะเขานึกอยากดองกับเพื่อนสนิทเหมือนกัน จะได้กลมเกลียวกันมากกว่าเดิม
ผ่านมากว่าสัปดาห์ตั้งแต่วันนั้นที่พบกัน เขายังคงทำงานหนักเหมือนเดิมไม่ได้ นอกจากบริษัทกับบ้านก็แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย ยกเว้นรับประทานอาหารกับคู่ค้าหรือสังสรรค์ตามประสานักธุรกิจ ไม่มีความบันเทิงในชีวิตสักอย่าง ใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น
กระทั่งมารดาที่เห็นบุตรชายขลุกอยู่บ้านอย่างเดียวก็นึกสงสาร อยากให้ออกไปข้างนอกบ้าง จึงวานให้ไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า แน่นอนว่าอยู่ใกล้บ้าน ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมออกมาหรอก
ท่านผู้บริหารที่สวมเชิ้ตใส่สูทเป็นปกติ วันนี้กลับใส่ชุดไปรเวทสีสุภาพโดยไม่ได้เซ็ทผม ดูเด็กลงเป็นกองไม่เหมือนคนอายุสามสิบกว่าสักนิด เท้าหนักเดินไปตามเส้นทางที่มีจุดหมายในใจ ไม่คิดจะออกนอกเส้นทางของตัวเอง
จนได้ยินเสียงทักเอ่ยดังทางด้านหลัง จึงหยุดเดินแล้วหันไปมอง ก่อนพบร่างแบบบางเดินแกมวิ่งตรงเข้ามาหา พร้อมรอยยิ้มกว้างประจำตัวเจ้าหล่อน ที่ดูสดใสเหมือนทุกครั้งยามได้พบเจอ
“พี่ปี! บังเอิญจังเลยนะคะ พี่ปีมาทำอะไรเหรอ” คำพูดไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ หล่อนไม่น่าจะมีธุระที่นี่ยกเว้นแต่หญิงสาวจะนัดกับแสงเหนือ ทว่าน้องชายเขาอยู่บ้าน
แล้วอย่างนั้นหล่อนมาที่นี่ทำไม…
ถึงจะอยากทราบแต่ก็ไม่ได้ถาม เลือกตอบในส่วนของตัวเองแล้วยืนนิ่ง “ซื้อของให้คุณแม่” ก้มมองคนตัวเล็กกว่าแล้วเผลอจ้องเธอนานกว่าปกติ มองปากอวบอิ่มที่เจื้อยแจ้วประโยคยาว
วันนั้นแม้เขาจะเมาแต่ก็จำเรื่องราวทุกอย่างได้ สัมผัสรสหวานกับเสียงครางแผ่วเบา ความไม่ประสาขัดกับคำพูดที่บอกว่าเก่งประสบการณ์ นึกเกลียดตัวเองที่ทำแบบนั้นกับหล่อนได้ลง
เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง
ปากบอกปาวๆ ว่าไม่มีวันชอบเด็ก และเธอกับเขาก็อายุห่างกันมาก สุดท้ายเรื่องมันกลับตาลปัตร โคแก่ตัวนี้ชิมความหวานจากหญ้าอ่อนจนได้
“เน่ก็จะไปเดินเล่นแต่มาคนเดียวแล้วเหงายังไม่รู้ ขอเดินด้วยนะคะ ไหนๆ พี่ปีก็มาคนเดียว เน่ก็มาคนเดียว เราก็ควรมาเดินด้วยกัน ไปที่ไหนก่อนดีคะ ไปดูหนังดีหรือเปล่า” เธอกระพริบตาปริบเมื่อพูดจบ เขย่งปลายเท้าแล้วอ้อนเขาเสียงหวาน ใช้มารยาทุกเล่มเกวียนเพื่อมัดใจฝ่ายชาย
อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่แต่ยากเกินไปและคงไม่เป็นตัวของตัวเอง เลยทำทุกอย่างตามใจไปเสียเลย
“พี่จะไปซื้อของให้แม่”
“อ้อ ซื้ออะไรคะ เน่เลือกของเก่งนะ ไปกันเลยไหม” เธอคิดจะเดินนำกลับถูกคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน สาวเจ้ายิ้มหวานแล้วมองมือหนาจนเขาต้องรีบปล่อย กลัวเธอคิดฝันไปไกล
“พี่อยากไปคนเดียว” คำพูดตัดรอนไม่ได้ทำให้หล่อนสลดสักนิด กลับทำหน้าเป็นแล้วรวบรัดเอาใจตัวเอง
“คนเดียวมันเหงา มีเน่ไปด้วยรับรองว่าสนุกไม่เหงาหูแน่นอน เดินไปโซนไหนดีคะ คุณน้าให้พี่มาซื้ออะไรเหรอ”
แน่นอนว่าหล่อนทราบ…
เมื่อมีสายอยู่ในบ้านอัครเศรษฐ์ แสงเหนือบอกหล่อนทุกอย่างก่อนเขาออกมา จึงรีบขับรถมาที่นี่พร้อมแต่งตัวสวยเพื่อจะได้ดูดีในสายตาของเขา
“แป้งทำขนม”
“งั้นไปเลยค่ะ” คิดจะเดินนำแต่ก็คิดบางอย่างออก จึงได้ก้าวถอยหลังมายืนข้างเขา พร้อมกับขาที่อ่อนแรงจนต้องเกาะแขนหนาเอาไว้ สายตาคมเหลือบมองหล่อนฟังเหตุผลที่ไม่เข้าท่า
“อุ้ย เน่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยเลยต้องหาที่ยึดไงคะ ขอเกาะนิดหน่อยไม่ได้เหรอ” อาการของเธอไม่ใกล้เคียงกับเวียนหัวสักนิด แต่ก็ไม่อยากพูดให้มากความ เริ่มเดินไปด้านหน้าโดยมีคนเกาะแขนไม่ห่าง
