บท
ตั้งค่า

19

“อารมณ์ดีแล้วใช่ไหมคะ...” เด็กสาวยิ้มหน้าบาน

“ยัง”

“อ้าว !...หนูต้องทำยังไงอ่ะ”

“อืม...ต้องทำยังไง...ลองคิดเอาเองบ้างสิ ยัยเด็กเซ่อ”

เด็กสาวพยายามคิดอย่างหนัก ควรจะทำอะไรดีนะ ถ้าเป็นตัวเองก็คงต้องปูไต่หรือไม่ก็เกาหลังที่หล่อนชอบอ้อนให้คุณป้าทำให้บ่อย ๆ แต่กับผู้ชายตัวโต หน้าดุคนนี้ต้องทำยังไงดีนะ...........

“อ๋อ...ดูดนิ้ว...ใช่ดูดนิ้วแน่ ๆ เลย คุณส่งมือมาสิคะ.....โอ๊ย....ดีดหน้าผากหนูทำไมอ่ะ”

“ยัยเด็กโง่...นอนซะ” พ่อเลี้ยงอาชากอดกระชับเรือนร่างนุ่มนิ่มแนบอก ระงับความพลุ่งพล่านภายใน หลับตายุติการสนทนา ก่อนที่จะต้องนอนตอบคำถาม ยัยเด็กช่างสงสัยทั้งคืน ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหงุงหงิงของอีกฝ่าย ก่อนจะเงียบไปเมื่อเขาไม่ยอมตอบโต้ด้วย......เมื่อร่างน้อยในอ้อมกอดนอนหลับหายใจสม่ำเสมอแล้ว เขาจึงคลายอ้อมกอดหลวม ๆ ให้หล่อนได้หลับสบายขึ้น.....พอเห็นหน้าหล่อนก็อดขำไม่ได้ คิดได้ไงวะว่าต้องดูดนิ้ว....ถ้าดูดอย่างอื่นที่มันใหญ่กว่านิ้ว ก็ว่าไปอย่าง................

หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันมาเกือบเดือน จนรมิดาเริ่มจะคุ้นเคย และดูเหมือนจะพออกพอใจ ที่ได้ทำหน้าที่ดูแลผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ในแบบที่ภรรยาที่ดีพึงกระทำ อะไรบ้างน่ะเหรอ เด็กสาวก็อาศัยถามเอาจากป้าพิณ ที่เอ็นดูนายสาวตัวน้อยเสียเหลือเกิน คอยให้คำแนะนำอย่างไม่ปิดบังเรียกว่าทุ่มให้สุดตัวกันเลยทีเดียว เพราะผลดีก็ตกอยู่กับเจ้านายที่นางรักนั่นเอง

ส่วนความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งถือเป็นข้อยกเว้น ซึ่งนั่นก็เพราะพ่อเลี้ยงหนุ่มตั้งใจจะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน แค่เวลาไม่นาน สาวน้อยคนนี้ก็สามารถเข้ามาวิ่งเล่นในหัวใจของเขาที่ไม่เคยเปิดรับใครมาก่อนได้สำเร็จด้วยจิตใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเจ้าหล่อนเอง ทำให้ชายหนุ่มอยากจะถนอมเจ้าหล่อนไว้ให้ถึงเวลาอันสมควร นอกจากฉกฉวยโอกาส นิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นกำลังใจบ้างเท่านั้นเอง

ขณะที่พ่อเลี้ยงหนุ่ม นอนรอเมียเด็กอาบน้ำอยู่นั้น เขาได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว จึงได้โทรหามารดา ที่พำนักอยู่กรุงเทพฯ เสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะน้องชายและน้องสาวชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ส่วนบิดาก็ตามใจมารดาเป็นหลัก คงมีแต่เขาคนเดียว ที่หลงใหลชีวิตชาวไร่ชาวสวนอยู่ที่นี่มากว่าสิบปีแล้ว

“สวัสดีครับ คุณแม่” นาน ๆ ครั้ง พ่อเลี้ยงหนุ่มจะโทรหาผู้เป็นมารดา จนคุณอิงอรบ่นว่า น้อยใจลูกชายคนโตบ่อย ๆ

“สวัสดีจ้าลูก... วันนี้มีอะไรถึงได้โทรหาแม่ได้จ๊ะ”

“คิดถึงไงครับ”

“ไม่ต้องมาปากหวานเลย นี่แม่นะไม่ใช่สาว ๆ ในสังกัดของลูก ว่าแต่คราวนี้มีอะไรจะให้แม่ช่วยก็ว่ามาไม่ต้องอ้อมค้อม” คุณอิงอรย่อมรู้จักนิสัยลูกชายดีกว่าใคร ๆ หล่อนค้อนใส่โทรศัพท์ส่งไปให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

“โอ้โห คุณแม่ทายแม่นอย่างกับตาเห็นแน่ะครับ”

“ว่าไงจ๊ะ แม่ชักอยากรู้แล้วล่ะ”

“ผมจะพาเด็กไปฝากให้คุณแม่ดูแลสักสี่ปีครับ” อาชาบอกผู้เป็นแม่ตรงไปตรงมา

“อะไรนะลูก เด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย” คุณอิงอรประหลาดใจ เพราะปกติลูกชายจะไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับเด็ก ๆ ถ้าสาว ๆ ล่ะก็ใช่

“ผู้หญิงสิครับ เมียผมเอง” อาชาบอกเต็มปากเต็มคำ

“ห๊า...ตาอาชา อย่าล้อแม่เล่นนะ” คราวนี้คุณอิงอรไม่สนุกด้วย แต่ไหนแต่ไร มาหล่อนเคี่ยวเข็ญลูกชายคนนี้ให้มีครอบครัว พาลูกสาวเพื่อน ๆ มาให้รู้จัก ก็ไม่ถูกใจ บ่ายเบี่ยงตลอด แล้วจู่ ๆ บอกว่ามีเมียแล้ว จะไม่ให้แม่อย่างหล่อนร้อนใจได้อย่างไร

“จริงครับ คุณแม่ ผมจะให้เธอไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย”

“ห๊า.....นี่ลูกไปล่อลวงลูกสาวบ้านไหนมาเนี่ย เพิ่งจบมัธยมเสียด้วย แล้วได้ตบได้แต่งกันหรือเปล่า ไม่เห็นหัวพ่อแม่เลยใช่ไหม” คุณอิงอรบ่นว่าด้วยความน้อยใจ

“เรื่องมันยาวครับ เอาไว้เจอกันผมค่อยเล่าให้ฟังนะครับ”

“โอย...ลูกคนนี้ ทำแม่เกือบเป็นลม ว่าแต่ไม่ได้ลักพาลูกสาวใครเขามาแน่นะ”

“แน่สิครับ ญาติผู้ใหญ่เขายิ่งกว่าเต็มใจยกให้ผมเสียอีก เอาไว้อีกสองวัน ผมจะพาไปหาคุณแม่นะครับ”

“จ่ะ พามาเร็ว ๆ แม่อยากเห็นหน้าลูกสะใภ้จะแย่อยู่แล้ว หวังว่าอาชาคงไม่ทำให้น้องเสียเด็กซะก่อนล่ะ” คุณอิงอรพูดดักคอ ในเมื่อลูกชายยอมรับว่าเป็นเมีย แม่อย่างหล่อนก็ให้ความเอ็นดูไปก่อนเลย...ลูกชายรักใคร แม่ก็รักด้วย

พ่อเลี้ยงอาชาไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะร่วน ความหมายว่าเสียเด็กของเขากับของมารดาอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ หลังจากวางสายจากมารดาแล้ว ชายหนุ่มนอนพิงหัวเตียงอย่างสบายอารมณ์ นึกถึงใบหน้ายัยตัวยุ่ง ตอนที่รู้ว่าอาจจะได้เรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หล่อนตื่นเต้นจนแทบจะคุมสติไม่อยู่ กอดรัดเขาซะแน่น สลับกับกระโดดไปรอบ ๆ ห้อง ถึงแม้นานวันเข้า เขาเองก็อยากเปลี่ยนใจอยู่หลายครั้ง ไม่อยากให้หล่อนไปไกลตา แต่ก็ไม่อยากดับฝันของหล่อน จึงได้เพิ่งจะตัดสินใจโทรบอกมารดาในเวลากระชั้นชิดแบบนี้

“คุณอาบน้ำแล้วเหรอคะ” รมิดาเอียงคอมองอย่างสงสัย เพราะก่อนหน้าที่หล่อนจะเข้าไปอาบน้ำ พ่อเลี้ยงยังอยู่ในชุดเดิมอยู่เลย พอกลับออกมาอีกทีเขาก็ใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เร็วจัง

“อืม …..”

“หนูขอโทษนะคะ ที่ใช้ห้องน้ำนาน” รมิดารู้สึกเกรงใจ ถึงแม้จะเริ่มคุ้นเคย แต่นิสัยขี้เกรงใจของหล่อนยังฝังแน่นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หล่อนมักจะโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเอาไว้ก่อน แต่นั่นก็ถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน เท่ากับเปิดโอกาสให้ได้พัฒนาตัวเองตลอดเวลา ไม่เหมือนกับคนที่ไม่ยอมมองตัวเอง เอาแต่โทษทุกอย่างรอบตัว คนแบบนี้ปิดกั้นโอกาสที่จะได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างน่าเสียดาย

“ช่างเถอะ รีบ ๆ แต่งตัวแล้วมานอนได้แล้ว” อาชาแกล้งทำเสียงเข้มเข้าหน่อย แม่กระต่ายน้อยของเขาก็ลนลานแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel