โลกของความจริง
โลกของความจริง
เช้าวันต่อมา
พิณรดายืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ในห้องแต่งตัว สวมเสื้อเบลเซอร์สีครีมกับกระโปรงทรงดินสอเข้ารูป ผมยาวถูกม้วนลอนหลวมๆ และรวบไว้ครึ่งศีรษะอย่างเรียบหรู เธอมองตัวเองนิ่งๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ
มันดูดี... แต่ไม่ใช่ฉันเลย
รถเบนซ์สีดำเงาขับเข้ามาจอดหน้าตึกสูงในย่านธุรกิจหรูของกรุงเทพฯ
พิณรดาก้าวลงมาพร้อมพ่อที่แต่งกายเรียบแต่สง่างาม พนักงานต้อนรับยกมือไหว้ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัว
"ประธานทรงวุฒิ ห้องประชุมพร้อมแล้วค่ะ"
บรรยากาศบนชั้น 20 ของบริษัทเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ห้องประชุมกระจกใสมองเห็นวิวกรุงเทพฯ ยามเช้า ผู้บริหารจากญี่ปุ่นสวมสูทดำสนิท นั่งเรียงกันอย่างมีมารยาท ฝั่งไทยก็มีทั้งผู้ช่วย ผู้บริหารระดับรอง และนักแปลประจำห้อง
"ขอแนะนำครับ... ลูกสาวผม พิณรดา เธอจะเข้าฟังประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์"
พ่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง
ชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย "Nice to meet you, Miss Pinrada. You look very professional."
"Thank you very much," เธอตอบกลับอย่างสุภาพ
แต่ในขณะที่เสียงเอกสารพลิกไปมา และการนำเสนอโปรเจกต์ผ่านจอ LCD ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สายตาของพิณรดากลับเหม่อลอย เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นผู้คนเดินกันขวักไขว่ด้านล่าง
เสียงเพลงของภาคินยังคงดังก้องในหัว
“And I… will always love you…”
"พิณรดา"
เสียงพ่อเรียกเบาๆ ทำให้เธอสะดุ้ง เธอหันกลับมามอง
"คะ"
"ช่วยจดประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้ไว้หน่อย พ่ออยากฟังมุมมองของลูกหลังจบ"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม แต่แฝงความกดดันไว้เต็มเปี่ยม
"...ค่ะ"
เธอก้มลงหยิบปากกา บังคับตัวเองให้จดทุกถ้อยคำที่ได้ยิน
---
สองชั่วโมงผ่านไป
หลังการประชุมจบลง ทุกคนทยอยลุกขึ้นจับมือ พูดคุยและส่งยิ้มให้กันแบบนักธุรกิจมืออาชีพ
"เป็นยังไงบ้างลูก" พ่อถามขณะเดินออกจากห้องประชุมด้วยกัน
"ก็...น่าสนใจดีค่ะ"
เธอยิ้มบางๆ แต่ใจกลับไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย
"พ่อดีใจนะที่ลูกได้ลองเข้ามาเห็น พ่ออยากให้ลูกได้เรียนรู้ว่าธุรกิจของครอบครัวมันสำคัญแค่ไหน"
พิณรดาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
"หนูเข้าใจค่ะ"
เธอไม่อยากขัดใจพ่อในตอนนี้
แต่อะไรบางอย่างในใจ...บอกเธอว่า คืนนี้เธอจะกลับไปที่ร้านนั้นอีกครั้ง
ได้เลย! ฉากนี้จะเริ่มขยับให้มีแรงต้านจากฝั่งพ่อของพิณรดา "ทรงวุฒิ" ที่เริ่มจับสังเกตได้เล็กน้อย ถึงแม้จะยังไม่รู้เรื่องภาคิน แต่เขาก็เริ่มควบคุมเธอมากขึ้น ส่วนพิณรดาก็เริ่มดื้อเงียบมากขึ้นเช่นกัน... เราจะใส่อารมณ์กดดันหน่อย และให้กลิ่นดราม่าลอยๆ เพื่อปูไปฉากที่เธอแอบออกไปคลับต่อ
---
เวลาทุ่มตรง
โต๊ะอาหารยาวสีขาวสะอาดตา มีเพียงสองคนนั่งฝั่งตรงข้ามกัน — ทรงวุฒิในลำลองสีกรมท่า และพิณรดา ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรา เงียบเชียบ มีเพียงเสียงช้อนกระทบจานดังเป็นจังหวะเบาๆ
“วันนี้ที่ประชุมเป็นยังไงบ้าง”
ทรงวุฒิเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่
พิณรดาเงยหน้าขึ้นช้าๆ
“ก็ดีค่ะ ทีมญี่ปุ่นเขาดูมืออาชีพมาก”
“แล้วคิดว่ายังไงกับโปรเจกต์นี้”
เขามองเธออย่างจับสังเกต ไม่ใช่แค่อยากฟังคำตอบ...แต่กำลังจับจังหวะหัวใจลูกสาว
พิณรดายิ้มบางๆ “หนูยังต้องเรียนรู้อีกเยอะค่ะ แต่ถ้าพ่ออยากให้หนูลงมาเกี่ยวข้อง หนูจะพยายามเต็มที่”
คำตอบนั้นฟังดูสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่ติดที่สายตาของเธอลอบมองนาฬิกาโต๊ะอยู่สองสามครั้ง
ทรงวุฒิหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นวางบนจาน
“คืนนี้พ่อไม่อยากให้ลูกออกไปไหนนะ”
มือที่ถือส้อมของพิณรดาชะงัก
“คะ”
“วันนี้ลูกคงเหนื่อยจากประชุมทั้งวัน พักผ่อนบ้าง พรุ่งนี้ต้องเข้าบริษัทเช้าอีก”
น้ำเสียงเขานุ่มนวลแต่ชัดเจนว่า... นี่ไม่ใช่คำขอ แต่คือคำสั่ง
พิณรดายิ้มให้พ่อ “ค่ะ”
แต่ในใจกลับเริ่มเต้นแรงขึ้นทุกที
หลังจากทานอาหารเสร็จ เธอกลับขึ้นห้องชั้นบน เปิดม่านกระจกมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นรถของคนขับยังจอดอยู่ด้านล่าง ไฟบ้านชั้นล่างยังเปิดอยู่
พิณรดายืนพิงขอบหน้าต่าง กระจกเย็นเฉียบแนบแผ่นหลังบางในชุดอยู่บ้านธรรมดาๆ แต่แววตาของเธอกลับไม่ธรรมดา มันวูบไหว และเต็มไปด้วยคำถามที่ไร้คำตอบ
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำ แสงไฟบนถนนทอดยาวเหมือนเส้นทางที่ไม่มีจุดหมาย
“คืนนี้...เขาจะเล่นเพลงเดิมอีกไหม”
คำถามหนึ่งลอยผ่านในใจเธอ
เสียงกีตาร์ของเขายังดังอยู่ในความทรงจำ ละมุน อบอุ่น แต่ลึกๆ แล้วเหมือนดึงอะไรบางอย่างออกมาจากหัวใจเธอ...บางอย่างที่เธอไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
พิณรดาเดินกลับไปที่โต๊ะข้างหัวเตียง เปิดลิ้นชักแผ่วเบา แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยออกมา
ผืนผ้านั้นมีกลิ่นอ่อนๆ ของไม้หอม...กลิ่นเดียวกับเสื้อเชิ้ตของเขาในคืนนั้น
เธอแตะปลายนิ้วลงบนเนื้อผ้าเบาๆ —เหมือนกลัวว่าจะทำมันเปื้อน
“ภาคิน...”
ชื่อของเขาหลุดออกมาจากริมฝีปากเธออย่างไม่รู้ตัว
เธอจำได้แม่นว่าเขายื่นผ้าเช็ดหน้านั้นให้เธอตอนที่เธอไปขอเบอร์ของเขา แต่ดขาให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มาแทน ในตอนนี้เธอคิดถึงเขา มีเพียงเสียงเพลงของเขา ที่เธออยากได้ยินอีกครั้ง
เธอกำผ้าเช็ดหน้าแน่นขึ้นนิดหนึ่ง แล้วหลับตา
แต่ยิ่งหลับตา เสียงเพลงของเขาก็ยิ่งดังชัดขึ้นในหัวใจ
คืนนี้เธอไม่ได้ออกไป
แต่ใจของเธอ...ไปไกลแล้ว
ไปถึงร้านนั้น
ถึงเวทีไม้เล็กๆ ที่มีเขายืนอยู่ใต้แสงไฟสลัวๆ
ถึงรอยยิ้มบางๆ ตอนที่เขามองเธอผ่านเสียงดนตรี
ใช่เธอตกหลุมรักภาคินตั้งแต่แรกพบ มั้งที่เธอเองยังไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน หรือทีแฟนแล้วหรือเปล่า แต่หัวใจเธอตอนนี้มันรักเขาเสียแล้ว
ตอนเช้า
แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดผ้าม่านสีครีมเข้ามาในห้อง พิณรดาลืมตาตื่นพร้อมกับความรู้สึกหน่วงแน่นในอก ไม่ใช่ความเหนื่อยจากการประชุมเมื่อวาน… แต่เป็นความคิดถึงใครบางคนที่ค่อยๆ ฝังรากลึกลงไปในใจเธอโดยไม่รู้ตัว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแผ่วเบา
“คุณพิณคะ รถรออยู่หน้าบ้านแล้วค่ะ”
เสียงแม่บ้านจากอีกฝั่งของประตูเอ่ยขึ้น
พิณรดาแต่งตัวเรียบร้อยในชุดสูทกระโปรงสีพาสเทลดูสุภาพ และหวีผมหน้าม้าของตัวเองให้เข้าที่ เธอหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้น เดินลงไปข้างล่างอย่างเงียบๆ
ทรงวุฒินั่งรออยู่แล้วในห้องรับแขก ท่าทีสงบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ
“พร้อมไหมลูก” เขาเอ่ยขณะลุกขึ้นยืน
พิณรดายิ้มเล็กน้อย “พร้อมค่ะ”
รถเบนซ์คันเดิมเคลื่อนตัวออกจากบ้านอีกครั้ง
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เงาสะท้อนของใบหน้าในกระจกรถดูสงบ แต่ลึกๆ แล้วภายในใจของพิณรดาเต็มไปด้วยคำถาม
‘คืนนี้...จะได้ยินเสียงเขาอีกไหม’
‘ถ้าฉันไปที่นั่น เขาจะยังอยู่มั้ย’
‘หรือเขาจะลืมฉันไปแล้ว’
