เสียงเพลงที่ผูกใจ
เสียงเพลงที่ผูกใจ
แสงไฟหน้าร้านสว่างไสวในยามค่ำคืน ผู้คนยังเดินเข้าออกไม่ขาดสาย พิณรดาหยุดยืนอยู่หน้าประตูร้านครู่หนึ่ง สูดหายใจลึก ก่อนจะผลักประตูเข้าไป กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมาต้อนรับ พร้อมกับเสียงพูดคุยของลูกค้าหลายโต๊ะที่ดังคลอไปกับเสียงดนตรีจากลำโพงเบาๆ
เธอสวมเดรสสีครีมเรียบหรู ตัดกับผิวขาวเนียน ผมยาวสลวยถูกรวบครึ่งศีรษะ ทิ้งปลายสยายเป็นลอนคลื่นสบายตา ใบหน้าแต่งแต้มเพียงบางเบา แต่ความมั่นใจในท่วงท่ากลับทำให้เธอดูโดดเด่นยิ่งกว่าใครในร้าน
"โต๊ะเดิมมั้ยคะคุณพิณรดา" พนักงานต้อนรับทักขึ้นอย่างคุ้นเคย
"ค่ะ ขอบคุณนะคะ" เธอยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินผ่านกลุ่มลูกค้าที่กำลังหัวเราะเสียงดัง ตรงไปยังโต๊ะริมกระจกที่เธอเคยนั่งเมื่อคืน
ท่ามกลางความคึกคักของร้าน เธอกลับรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเบาลงในทันทีที่ได้ยินเสียงดีดสายกีตาร์จากเวที
ชายหนุ่มคนนั้น—ภาคิน—นั่งอยู่บนสตูลไม้ตัวเดิม เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นถึงข้อศอก กางเกงยีนส์สีซีด รองเท้าเดิม ไม่มีเครื่องประดับใดๆ นอกจากนาฬิกาหนังเส้นเก่า แต่สิ่งที่สะกดตาเธอได้ทุกครั้งที่มองคือ… แววตานิ่งขรึมที่ไม่เคยเปิดเผยอะไรออกมา
เขาจูนสายกีตาร์เงียบๆ แสงไฟบนเวทีส่องกระทบเสี้ยวหน้าคมเข้ม ราวกับภาพวาดที่วางอยู่ในแกลเลอรี่กลางคืน
เมื่อเสียงกีตาร์เริ่มบรรเลง เพลงแรกในคืนนี้คือ “Wonderful Tonight” ของ Eric Clapton
และทุกอย่างรอบตัวเธอก็เงียบลง เหลือไว้เพียงเสียงทุ้มอุ่นที่ล่องลอยออกมาจากริมฝีปากเขา
> “It’s late in the evening… she’s wondering what clothes to wear…”
จังหวะของเขานุ่มนวลพอดี คำร้องเปล่งออกมาอย่างเป็นธรรมชาติจนเธอรู้สึกราวกับเขาไม่ได้ร้องเพลง หากแต่กำลังเล่าเรื่องให้ใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงนี้… ฟังเพียงคนเดียว
"แกกำลังเพ้ออีกแล้วนะ" เพื่อนที่มาด้วยกันกระซิบติดตลก แต่สายตาเธอยังไม่ละไปจากเวที
"ฉันแค่ฟังเพลง…" พิณรดาตอบเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่แม้แต่ตัวเองก็รู้ว่าซ่อนอะไรไว้ไม่ได้
เมื่อเพลงจบลง เสียงปรบมือดังก้องทั่วร้าน ภาคินเงยหน้าขึ้น รับคำขอบคุณจากบางคนด้วยการพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินลงจากเวที
แต่แทนที่จะหายไปหลังร้านเหมือนเมื่อคืน เขากลับตรงไปที่บาร์ สั่งน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว แล้วนั่งลงอย่างเรียบง่ายเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา
หัวใจพิณรดาเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอมองเขาอยู่นาน ก่อนจะวางแก้วไวน์ลงแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปยังบาร์โดยไม่รีรอ
"คืนนี้คุณเล่นเพราะกว่าคืนก่อนอีกนะคะ" เสียงเธอนุ่มนวล เอ่ยขึ้นข้างๆ ขณะที่เขาหันมามอง
ดวงตาสีเข้มของเขาสบกับเธอเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ "ขอบคุณครับ"
"โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย... เหมือนคุณกำลังเล่าให้ใครบางคนฟังจริงๆ"
ภาคินเงียบไปชั่ววินาที ดวงตาของเขามีแววบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก
มันลึก... และดูเหมือนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ซ่อนอยู่หลังม่านหนา
"ผมดีใจที่คุณกลับมา" เขาพูดเสียงเบา แต่ชัดเจนจนหัวใจเธอสั่นวาบ
พิณรดานิ่งไปเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกหรือไม่ หรือหัวใจแค่เล่นกล
"แต่ผมยังไม่ให้เบอร์คุณนะครับ" เขาเสริมพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกอยากรู้จักเขามากขึ้นกว่าเดิม
"แล้วฉันต้องมาอีกกี่คืนล่ะ ถึงจะได้"
เขาหัวเราะเบาๆ เอื้อมหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กจากกระเป๋ากีตาร์ แล้วยื่นให้เธอ
มันเป็นผ้าสีขาวครีมสะอาด ปักลายเล็กๆ ตรงมุมว่า Khin.
"ผมไม่ให้เบอร์หรอก แต่ให้สิ่งนี้แทน"
พิณรดารับมันมา มองเขาอย่างงุนงง
"ไว้คุณมาคืนผ้านี่ในวันที่คุณรู้จักตัวตนของผมจริงๆ แล้วค่อยขอเบอร์ก็ยังไม่สาย"
"แล้วถ้าฉันไม่อยากรอจนถึงวันนั้นล่ะ"
"งั้นก็มาเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันนั้นเอง"
พิณรดาอมยิ้ม เก็บผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋าเสื้ออย่างถนอม ราวกับมันคือของสำคัญที่ห้ามหาย
เธอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ หรือทำไมเขาถึงดูเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่หลังคำพูดเรียบๆ เหล่านั้น
แต่เธอรู้เพียงว่า… ชายหนุ่มคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเธอมากกว่าแค่เสียงเพลง
และเธอจะกลับมาอีกแน่นอน
แม้เขาจะยังไม่เปิดใจ... แต่เธอจะรอ
เธออยากรู้ว่า... ภายใต้เสียงกีตาร์นุ่มๆ นั้น
ภาคินเป็นใครกันแน่
เยี่ยมเลย! ถ้างั้นเราจะปรับให้เป็นแบบที่คุณต้องการ — คือ พ่อของพิณรดายังไม่รู้ว่าเธอไปเจอภาคิน แต่ยังคงแสดงความห่วงใยและควบคุมแบบผู้ดีมีชั้นเชิง ให้ความกดดันแบบอ้อมๆ เหมือนคนที่รักลูกแต่ไม่ปล่อยให้เป็นอิสระ เราจะเน้นบรรยากาศตึงๆ แต่ยังไม่มีการปะทะตรงๆ และยังเปิดช่องให้พิณรดาไปหาภาคินต่อได้
---
พิณรดาไขกุญแจเข้าบ้านหลังใหญ่ใจกลางเมืองหลวง เสียงส้นรองเท้าดังแผ่วเบาไปตามพื้นหินอ่อนในโถงกว้าง เธอเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง — เที่ยงคืนกว่า
เธอค่อยๆ ถอดรองเท้าส้นสูง หอบกระเป๋าสะพายขึ้นไหล่ กะว่าจะรีบขึ้นห้องไปอาบน้ำโดยไม่ให้ใครรู้ว่ากลับมาดึก แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นขั้นบันไดแรก เสียงนุ่มลึกก็ดังขึ้นจากโซฟาในความมืดสลัว
"ดึกจังนะลูก"
พิณรดาชะงัก เท้าแทบหยุดกลางอากาศ เธอหันไปมอง ก็พบว่าชายวัยกลางคนในชุดนอน นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวโปรด เขาดูสงบ แต่ในความสงบนั้นแฝงไปด้วยแรงกดดันแปลกๆ
"คุณพ่อยังไม่นอนเหรอคะ"
"นอนไม่หลับ ถ้าลูกสาวยังไม่กลับบ้าน"
เขาวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะช้าๆ เหมือนตั้งใจให้เสียงกระทบนั้นดังพอให้รับรู้ว่าเขารอเธออยู่
"วันนี้หนูแค่ไปกินข้าวกับเพื่อนค่ะ"
"เพื่อนที่ไหนเหรอ พ่อไม่เคยได้ยินชื่อเลย"
พิณรดายิ้มบางๆ พลางเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามพ่อ
"เพื่อนใหม่ค่ะ เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เป็นกลุ่มที่ไปเรียนคอร์สศิลปะช่วงวันหยุดด้วยกัน"
เขาพยักหน้าน้อยๆ มองลูกสาวผ่านแว่นตาเล็กๆ ด้วยสายตาอ่านยาก
"ถ้าจะออกไปดึกแบบนี้ บอกคนขับรถให้ไปรับด้วยก็ดีนะลูก"
"ไม่อยากรบกวนค่ะ อยากเดินเล่นบ้าง บรรยากาศกลางคืนมันเงียบดี สบายใจ"
เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ "ถ้าเงียบมากไปก็อย่าให้เงียบจนเกิดอันตรายนะ"
พิณรดาหัวเราะแห้งๆ "พ่อห่วงหนูเหมือนเดิมเลย"
"แน่นอน พ่อมีลูกสาวคนเดียว ไม่ห่วงได้ยังไง"
เขาพูดพร้อมยิ้มบางๆ ที่แฝงความจริงจังไว้ข้างใน
เธอพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
"งั้นหนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ ดึกแล้ว"
"อืม พักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้จะมีประชุมกับทางบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่น พ่อตั้งใจให้ลูกไปนั่งฟังด้วย"
พิณรดาเลิกคิ้วนิดหนึ่ง "หนูต้องไปด้วยเหรอคะ"
"ใช่จ้ะ พ่ออยากให้ลูกเริ่มรู้จักโลกของผู้ใหญ่"
"...ค่ะ"
เธอรับคำเบาๆ แล้วเดินขึ้นบันไดช้าๆ ทิ้งให้พ่อมองตามแผ่นหลังนั้นในความเงียบสงัด
เขาไม่รู้ว่าเธอไม่ได้ออกไปกับเพื่อน
และเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าความสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่เพิ่งเริ่มต้น กำลังจะพาเธอเดินเข้าสู่โลกที่ต่างออกไปจากที่พ่อวางไว้โดยสิ้นเชิง
