อยากไปหา
ในขณะที่รถแล่นเข้าสู่ย่านธุรกิจอีกครั้ง เสียงพ่อพูดขึ้นเบาๆ
“วันนี้ตอนบ่าย ลูกจะเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารฝ่ายการตลาด พ่ออยากให้ลองฟังแนวคิดการรีแบรนด์สินค้าชุดใหม่”
พิณรดาพยักหน้าเบาๆ “ได้ค่ะ”
แต่ในใจ...กลับแอบนับเวลา
เหลืออีกกี่ชั่วโมงถึงค่ำ
ถึงเวลาที่เธอจะได้ตัดสินใจอีกครั้ง
ว่าจะเป็น 'ลูกสาวของประธานทรงวุฒิ' ต่อไปอย่างไม่มีคำถาม
หรือจะเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากฟังเสียงกีตาร์จากเวทีไม้เล็กๆ นั้นอีกครั้ง
เธอเริ่มรู้แล้วว่า
โลกของผู้ใหญ่...คือโลกที่วางไว้ให้เดิน
แต่หัวใจของเธอ...มันกำลังเดินไปอีกทาง
กว่าจะเสร็จงานประชุมก็เกือบหกโมงเย็น
พิณรดารีบก้าวลงจากรถ ขึ้นบ้านโดยแทบไม่พูดกับใคร สวัสดีคนขับรถด้วยเสียงเบา แล้วเดินตรงขึ้นห้อง เธอถอดสูททิ้งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปลดต่างหูออกอย่างรวดเร็ว แล้วก้มมองโทรศัพท์ที่เธอแอบปิดเสียงไว้ตั้งแต่เช้า
ไม่มีข้อความ ไม่มีสายไม่ได้รับ
แต่ในใจเธอกลับดังไปด้วยเสียงของเขา
ภาคิน…
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อเขาเต็มๆ คืออะไร แต่เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และรอยยิ้มขรึมๆ ในเงาไฟสีส้มนวลของร้านนั้น มันวนอยู่ในหัวเธอทั้งวัน
พิณรดาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงสั้นสีดำสนิท สวมแจ็คเก็ตยีนส์คลุมไหล่ไว้หลวมๆ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เคยอยู่ในลิ้นชักนั้น ยัดใส่กระเป๋าสะพายเล็กๆ ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปด้านล่าง
รถพ่อยังไม่กลับ
แม่บ้านกำลังเก็บของในครัว
ไม่มีใครสนใจว่าเธอกำลังจะทำอะไร
เธอเดินลงบันไดอย่างเงียบเชียบ หยิบกุญแจรถเล็กที่เธอไม่ค่อยได้ขับ ขับออกจากบ้านไปในยามเย็นที่รถเริ่มหนาแน่น
คืนนี้…เธอต้องไปให้ถึง
เธอขับไปตามเส้นทางที่เริ่มคุ้นตา ใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล รถจอดริมฟุตบาทฝั่งตรงข้ามร้าน เสียงเพลงเบาๆ ลอยออกมาจากด้านใน
เธอลงจากรถ เดินข้ามถนนโดยไม่ลังเล
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เสียงเพลงที่เธอเฝ้ารอก็ดังขึ้น
เสียงกีตาร์โปร่งร้อยทำนองอย่างนุ่มนวล
และเขา… ภาคิน
อยู่ตรงนั้น
บนเวทีไม้เล็กๆ ใต้แสงไฟสีอุ่นเหมือนคืนก่อน
พิณรดายืนนิ่งอยู่ตรงประตู ชั่วขณะหนึ่งเธอไม่แน่ใจว่าควรเดินต่อหรือถอยหลัง
แต่เสียงเพลงของเขาก็รั้งเธอไว้ตรงนั้น
เขากำลังเล่นเพลงเดิม — เพลงที่เธอได้ยินในคืนแรก
"And I… will always love you…"
เธอกลั้นลมหายใจไว้ชั่วครู่ ขยับเดินเข้าไปช้าๆ จนได้โต๊ะเล็กใกล้ๆ เวที
ภาคินยังไม่เห็นเธอ เขากำลังจดจ่อกับเสียงดนตรี
แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น และสายตาของเขาสบกับเธอ
เขาหยุดเล่นชั่ววินาทีหนึ่ง — แววตานิ่งไปเหมือนกำลังตกใจเล็กๆ
ก่อนจะยิ้มบางๆ แบบที่เธอจำได้ไม่ลืม
พิณรดา…ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน
เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไร
ไม่รู้ว่าเขามีใครหรือยัง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างเธอกับเขาคืออะไร
แต่เธอรู้เพียงอย่างเดียว
คืนนี้…เธอต้องได้ยินเพลงของเขา
อีกครั้ง
ภาคินเล่นเพลงสุดท้ายจบลงท่ามกลางเสียงปรบมือเบาๆ จากแขกประจำที่นั่งกระจายกันอยู่ในร้าน เขายิ้มรับเล็กน้อย แล้วลุกจากเก้าอี้ เดินลงจากเวทีอย่างสงบนิ่ง
พิณรดายกมือขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขามองมาอีกครั้ง สายตาทั้งคู่สบกันอีกครั้ง—และคราวนี้ ภาคินเดินตรงมาที่โต๊ะของเธอ
เขาหยุดยืนข้างโต๊ะ ยกยิ้มบางๆ เหมือนยังไม่แน่ใจว่าควรนั่งลงดีไหม
“ไม่คิดว่าจะมาอีกครับ”
พิณรดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แววตาเธอยังมีความลังเลเล็กๆ แฝงอยู่ แต่ก็นุ่มนวล
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะมาเหมือนกัน… แต่คิดถึงเสียงร้องของคุณ”
เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนพยักหน้า
“ขอบคุณครับ” เขาชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “นั่งด้วยได้ไหม”
เธอพยักหน้าเงียบๆ ภาคินทรุดตัวลงนั่ง ชุดเสื้อยืดแขนยาวสีดำและกางเกงยีนส์ธรรมดาดูเข้ากับบรรยากาศร้านเล็กๆ นี้อย่างพอดี
“มื้อวานไม่เห็นคุณมา” เขาถามเบาๆ
พิณรดายกแก้วน้ำขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนวางลงบนโต๊ะอย่างเงียบงัน
“เมื่อวานมีประชุมจนดึกค่ะ… พอเสร็จแล้วก็เหนื่อยเกินกว่าจะขับรถออกมา” เธอยิ้มจางๆ แล้วเบนสายตามองไปทางเวทีที่ตอนนี้ว่างเปล่า “แต่เมื่อคืน ฉันก็ยังคิดถึงเพลงที่คุณร้อง”
ภาคินยิ้มบางๆ สายตาเขาดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ดีใจที่เพลงของผมยังอยู่ในความคิดคุณ”
“คุณเลือกเพลงยังไงคะในแต่ละคืน” เธอเอียงหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงเหมือนอยากรู้จริงๆ “เหมือนมันสื่อสารอะไรบางอย่างทุกครั้ง”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ
“ผมเลือกตามความรู้สึกครับ… บางวันก็เลือกตามอารมณ์ บางวันก็…เลือกตามใครบางคนที่นั่งฟังอยู่”
พิณรดาชะงักเล็กน้อย ดวงตาเธอไหววูบ
“เมื่อคืน… คุณเลือกเพลงเพื่อใครหรือเปล่า”
ภาคินหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วตอบเสียงนุ่ม
“ถ้าคุณอยู่… ผมคงร้องเพลงให้คุณฟังอีกเหมือนเดิม”
เธอหลุบตาลงช้าๆ ราวกับกลั้นบางอย่างไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“คุณรู้ไหม บางทีฉันก็แปลกใจ… ว่าทำไมถึงได้รู้สึกสบายใจเวลาฟังคุณร้องเพลงนัก”
เขามองเธอนิ่งนาน ไม่พูดอะไร ราวกับรับฟังอย่างลึกซึ้ง
ก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา
“เพราะคุณกำลังเหนื่อย… และหัวใจของคุณต้องการที่พักไงครับ”
พิณรดาสบตาเขาอีกครั้ง แววตาเธออ่อนลง… เหมือนคลื่นใจที่เคยปั่นป่วนกำลังค่อยๆ สงบลง
“แล้วคุณล่ะ…” เธอถามกลับในที่สุด “คุณเหนื่อยบ้างไหม”
ภาคินยิ้ม… เป็นรอยยิ้มที่เจือความเหนื่อยล้าเอาไว้ชัดเจน
“ผมเหนื่อยจนเคยคิดว่าจะเลิกเล่นดนตรีไปเลย”
“แล้วทำไมยังเล่นอยู่”
เขามองเธอนิ่ง แล้วตอบเพียงว่า
“เพราะบางคน…ทำให้ผมอยากเล่นต่อ”
บรรยากาศรอบโต๊ะนั้นเงียบกว่าทุกจุดในร้าน
เงียบ…แต่วูบไหว
พิณรดานิ่งไปชั่วอึดใจ คล้ายกับประโยคสุดท้ายนั้นของเขายังสะท้อนอยู่ในใจเธอ
“บางคน…” เธอทวนคำเบาๆ
“เขาคนนั้น…รู้ตัวหรือเปล่าคะ ว่าทำให้คุณอยากเล่นต่อ”
ภาคินหัวเราะเบาๆ สีหน้าเหมือนไม่ได้คาดหวังให้เธอถามกลับ
“ไม่รู้หรอกครับ… บางทีเขาอาจจะรู้ตัวตอนที่ผมเลิกเล่นไปแล้วก็ได้”
พิณรดามองเขานิ่ง ใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เธอไม่เคยคิดว่าผู้ชายคนนี้จะพูดอะไรที่กระทบใจเธอได้ลึกขนาดนี้ โดยเฉพาะเมื่อมันมาในรูปแบบเรียบง่าย… และไม่คาดหวังอะไรกลับ
“อย่าเพิ่งเลิกเลยค่ะ” เธอพูดออกมาเบาๆ
“อย่างน้อย…ก็จนกว่าฉันจะหยุดมาฟังคุณร้องเพลง”
ภาคินเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ รอยยิ้มในดวงตาเขาค่อยๆ แผ่กว้างออกมา
คราวนี้ไม่มีความเหนื่อยล้าเจืออยู่เลย
แต่ก่อนที่เขาจะตอบอะไร เสียงกีตาร์จากเวทีก็ดังขึ้นแผ่วเบา
นักดนตรีอีกคนเริ่มเล่นเซ็ตต่อไป ผู้คนในร้านเริ่มหันกลับไปสนใจเวที
ภาคินเหลือบมองเวลาในนาฬิกา
“อีกสักพักผมต้องขึ้นไปร้องอีกรอบแล้วครับ”
พิณรดาพยักหน้าเบาๆ
“งั้นฉันจะอยู่ฟัง… จนเพลงสุดท้ายของคืนนี้”
“งั้นคุณรอฟังดีๆ นะครับ” เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นช้าๆ
“เพราะเพลงสุดท้าย… ผมจะร้องเพื่อคุณ”
ดวงตาพิณรดาเบิกเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันหลังเดินไปทางเวทีอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าทำไมคำพูดนั้นถึงทำให้เธอใจเต้นแรง…
หรือบางทีเธออาจเริ่มเข้าใจแล้วว่า ‘เขาคนนั้น’ ที่ภาคินพูดถึง อาจเป็นเธอเอง
