บทที่ 3
“แก้ว...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บอกเรามาสิ” ขณะที่เอ่ยถามแก้วกานต์อยู่นั้น เวียงพิงค์ก็ถูกชายร่างยักษ์ฉุดกระชากให้เดินตามไปด้วย แรงของชายคนนั้นมากกว่าเวียงพิงค์หลายเท่า กระชากมาแต่ละครั้งร่างบอบบางของเธอก็แทบจะปลิว
สีหน้าของเวียงพิงค์ตอนนี้ตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ไว้ใจชายคนที่กำลังฉุดเธออยู่ตอนนี้ รวมไปถึงซาช่าเพราะเขาเอาแต่ยืนมอง ไม่ได้เข้ามาช่วยเช่นกัน
“เวียงพิงค์เราขอโทษ” แก้วกานต์ได้แต่เอ่ยประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา
“แก้ว...ช่วยเราด้วย…แก้ว” เวียงพิงค์ยังคงตะโกนขอความช่วยเหลือจากแก้วกานต์ เพราะรอบตัวเธอตอนนี้ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาพอจะให้มาช่วยได้เลย
ท่าทางของเวียงพิงค์ที่ตื่นกลัวทำให้แก้วกานต์ยิ่งรู้สึกผิด กระทั่งตัดสินใจหันมาเอ่ยกับซาช่า
“ซาช่า ปล่อยเวียงพิงค์ไปเถอะ”
“ไม่มีทาง” ซาช่าตะคอกกลับมา เพราะเขาไม่มีทางปล่อยเวียงพิงค์ไปได้แน่นอน
“ถือว่าฉันขอร้อง ปล่อยเพื่อนฉันคนนี้ไปเถอะ” แก้วกานต์ถึงกับลงไปนั่งคุกเข่าขอร้องซาช่า ซึ่งเวียงพิงค์เองก็มองเห็นภาพนั้นเช่นกัน
เพียะ!
เสียงตบฉาดใหญ่ดังขึ้น และคนที่ถูกตบจนหน้าหันก็คือแก้วกานต์ ในขณะที่คนลงมือกลับยังคงมองเธอด้วยแววตาแข็งกร้าว
“หยุดเอะอะโวยวายได้แล้วนีน่า เธอก็รู้ว่าเรื่องนี้เราหยุดไม่ได้แล้ว”
“แต่ฉันขอร้อง...” แม้จะจบหน้าจนรู้สึกชา ถึงอย่างนั้นแก้วกานต์ก็ยังคงขอร้องซาช่า พร้อมกับเข้าไปกอดขาชายหนุ่มไว้
“ไม่...นี่เธอพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ ปล่อยฉัน” ซาช่าพยายามสะบัดขาออกจากมือของแก้วกานต์ ซึ่งเธอก็ยิ่งออกแรงกอดขาเขาไว้แน่นขึ้น
“ไม่ปล่อย”
“ไม่ปล่อยเหรอ ได้” เอ่ยจบซาช่าก็ทำร้ายร่างกาย แก้วกานต์อย่างไม่ปราณี ทั้งตบทั้งตีทั้งเตะจนแก้วกานต์ลงไปนอนกับพื้น หน้าตาสวยๆ ของเธอเวลานี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและคราบเลือด
เวียงพิงค์ที่มองอยู่ถึงกับตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าผู้ชายที่ดูอบอุ่นและรักแก้วกานต์จะกล้าลงมือทำร้ายผู้หญิงได้อย่างทารุณแบบนั้น เวียงพิงค์อยากวิ่งกลับมาช่วยเพื่อนแต่ก็สู้แรงคนของซาช่าที่จับแขนของเธออยู่ตอนนี้ไม่ได้
“หนีไปเวียงพิงค์ หนีไป” เสียงตะโกนแบบสุดเสียงของแก้วกานต์ดังเข้าหูของเวียงพิงค์ นั่นทำให้เธอได้สติว่าต้องเอาตัวรอดจากตรงนี้ให้ได้ก่อน แม้จะยังไม่รู้ว่าต้องหนีไปไหนก็ตามที
เวียงพิงค์อาศัยจังหวะที่คนของซาช่าเผลอใส่เข่าเข้าไปตรงกลางลำตัวเต็มๆ แรง เข่าจากเธอสามารถทำให้ผู้ชายร่างโตถึงกับจุกได้ไม่ยาก จากนั้นจึงสะบัดแขนจนหลุดแล้วรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต โดยยังคงมีเสียงของแก้วกานต์ดังตามหลังว่าให้หนีไป
และเพราะความรีบร้อนทำให้เธอไม่ดูหน้าดูหลังให้ดี นั่นทำให้เวียงพิงค์วิ่งไปตัดหน้ารถคันหนึ่งเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เอี๊ยด!
เสียงเบรกของรถคันนั้นดังขึ้น แต่เพราะเธอพรวดพราดออกมาจากข้างถนน ทำให้ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ขับรถให้ผู้เป็นนายนั่งเหยียบเบรกไม่ทัน จึงส่งผลให้รถยุโรปคันใหญ่พุ่งชนเข้ากับร่างบอบบางของเวียงพิงค์เต็มแรง แรงชนทำให้ร่างเล็กๆ ของเธอกระเด็นไปไกลพอสมควร และสติสุดท้ายของเวียงพิงค์ก็ดับวูบลงเพียงแค่นั้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงรถชนกันสนั่นถนน
โครม!
หลังจากนอนไม่ได้สติมาเกือบหนึ่งวัน เวลานี้ดวงตากลมโตก็ค่อยๆ ขยับก่อนจะลืมตาขึ้นมอง เวียงพิงค์กะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาของตัวเอง จากนั้นก็นอนมองเพดานห้องพร้อมพยายามคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง ก่อนจะสะดุ้งขึ้นมาอยู่ในท่านั่งด้วยท่าทางหวาดหวั่นอย่างรวดเร็ว
“ฟื้นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นตรงหัวเตียง ยิ่งทำให้เวียงพิงค์ตกใจเข้าไปอีก พอหันไปมองยังทิศทางของเสียงจึงเห็นว่าเป็นผู้ชายคนนั้น คนที่เธอเคยช่วยเธอไว้บนเครื่องบิน
“คุณ!”
“คุณเหรอ...ยังดีที่ยังจำกันได้” คิริลล์เอ่ยเป็นภาษาไทย เพราะคำว่าคุณของเวียงพิงค์เมื่อครู่ก็เป็นภาษาไทยนั่นเอง ถ้าทางเธอคงไม่ได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะร้ายแรง จะมีก็คงเป็นแผลถลอกตามร่างกายที่มากหน่อย
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” พอรู้ว่าชายตรงหน้าฟังภาษาไทยได้ เวียงพิงค์ก็เอ่ยภาษาไทยออกไปทันที แต่คิริลล์กลับตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ
“ผมต่างหากที่ควรจะถาม ว่าคุณวิ่งตัดหน้ารถผมทำไม”
“เอ่อ...ฉัน ฉันแค่...” เวียงพิงค์อ้ำๆ อึ้งๆ นั่นเพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอยังไงเช่นกัน ไม่รู้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน เขาเป็นคนยังไงก็ยังไม่รู้ ดีไม่ดีอาจเป็นกลุ่มเดียวกับซาช่า คราวนี้เธอก็คงยิ่งแย่
แต่พอก้มมองตัวเองก็เห็นผ้าก๊อซปิดอยู่เต็มไปหมด แผลพวกนี้คงได้มาตอนเธอวิ่งตัดหน้ารถ ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
“แค่อะไรหรือจะใช้มุขของผู้หญิงไทยเวลาต้องการทำความรู้จักคนที่ชอบ” คำตอบของคิริลล์แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ แต่เวียงพิงค์กลับฟังออกทุกคำ นั่นทำให้เธอตัดสินใจจะตอบโต้เขากลับมาด้วยภาษาเดียวกัน และคงต้องคุยกันแบบนี้ไปตลอด
คงต้องขอบคุณตัวเองที่ชอบภาษาอังกฤษ เพราะชอบทำให้ขยันเรียนวิชานี้เป็นพิเศษ จบมาก็ทำงานเกี่ยวกับภาษา ไม่อย่างนั้นคงพูดกับผู้ชายตรงหน้าไม่รู้เรื่องแน่
“ใครชอบคุณ” เวียงพิงค์เถียงขาดใจ นั่นเพราะเธอไม่ได้รู้สึกชอบเขาเสียหน่อย ส่วนผู้ชายตรงหน้าก็หลงตัวเองเหลือเกิน
“ก็คุณไง” คิริลล์ชี้นิ้วมาที่เวียงพิงค์ เขาไม่รู้หรอกว่าเธอชอบเขาไหมแต่ก็คิดเข้าข้างเอาว่าคงชอบ เพราะที่ผ่านมามาผู้หญิงน้อยคนมากที่จะปฏิเสธเขาได้
“หลงตัวเอง”
