5
สองสัปดาห์ภายใต้การปกครองของ ไคเซอร์ ไม่ใช่เวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เป็นช่วงเวลาที่ถูกบีบอัดจนรู้สึกหายใจไม่ออก
นาฬิกาเรือนทองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงทางเดินส่งเสียงตีบอกเวลา แปดโมงเช้า อย่างแม่นยำ ทุกวัน นลินจะต้องตื่นขึ้นมาในสภาพที่ว่างเปล่าบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ที่ว่างเปล่าเช่นกัน ไคเซอร์ จะจากไปก่อนที่พระอาทิตย์ขึ้นเสมอ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมเย็น ๆ ที่ทำหน้าที่เหมือนเครื่องเตือนใจว่า เมื่อคืนนี้ได้เกิดอะไรขึ้น และ ใครคือเจ้าของชีวิตเธอ
ประตูห้องนอนจะถูกปลดล็อกโดย มิสซิสแคลร์ แม่บ้านสูงวัยผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์ เธอจะเข้ามาในห้องพร้อมชุดเสื้อผ้าที่ถูกคัดสรรไว้อย่างดีวางอยู่บนเก้าอี้ ไม่เคยมีตัวเลือกอื่น ไม่มีคำถามใด ๆ จากปากเธอ
“คุณไคเซอร์ต้องการให้คุณนลินรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารเก้าโมงตรงค่ะ” มิสซิสแคลร์จะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบทุกวัน
นลินทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เธอหยิบชุดเดรสสีครีมตัวล่าสุดที่ถูกจัดเตรียมไว้ขึ้นมาสวมใส่ ทุกอย่างในห้องนี้ถูกออกแบบมาเพื่อความสบายสูงสุด แต่กลับทำหน้าที่เหมือนกรงขังที่มองไม่เห็น
ที่ห้องอาหาร โต๊ะยาวถูกจัดอย่างประณีตด้วยอาหารเช้าสไตล์ยุโรปสำหรับ นลินคนเดียว ไคเซอร์ไม่เคยทานอาหารเช้าร่วมกับเธอ แต่เขาทิ้ง การเฝ้าระวัง ไว้แทน
ชายชุดดำคนหนึ่งยืนประจำอยู่มุมห้องอย่างเงียบ ๆ เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดที่ชื่อ มาร์คัส แต่เป็นคนใหม่ที่นลินไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เธอทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำที่ตักเข้าปาก
นลินลองหยิบโทรศัพท์มือถือที่ไคเซอร์อนุญาตให้ใช้ (โดยมีข้อแม้ว่าห้ามโทรออก ยกเว้นเบอร์ที่ได้รับอนุญาต) ขึ้นมาดู
“ขอโทษครับคุณนลิน คุณไคเซอร์ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ระหว่างรับประทานอาหารครับ” เสียงของชายชุดดำดังขึ้นทันทีที่เธอแตะหน้าจอโทรศัพท์
นลินวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เธอรู้สึกเหมือนถูกกระชากอิสระเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจากมือ
‘แม้แต่การกินข้าวก็ยังไม่เป็นส่วนตัวเลยหรือไง อึดอัดจะแย่ ถ้าฉันสืบได้เรื่องอะไรเมือไหร่ล่ะก็..พวกแกจะไม่เห็นแม้แต่ขนหน้าแข้งฉันแน่’ เธอคิดอย่างคับแค้น
ช่วงกลางวันเป็นช่วงที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด นลินได้รับอนุญาตให้อ่านหนังสือในห้องสมุดของไคเซอร์ หรือเล่นเปียโนในห้องนั่งเล่น แต่ ห้ามออกนอกอาณาเขตชั้นล่าง
วันหนึ่ง เธอตัดสินใจเดินไปที่ประตูทางออกด้านหน้า
เธอเอื้อมมือไปจับลูกบิดทองเหลืองที่เย็นเฉียบ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้หมุนมัน...
“คุณนลินครับ” เสียงทุ้มต่ำของ แดน บอดี้การ์ดที่ประจำอยู่ที่โถงทางเดินดังขึ้นจากด้านหลัง “ลูกบิดประตูนี้ แค่ใช้ตกแต่ง ครับ ประตูนี้ถูกล็อกด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือของคุณไคเซอร์เท่านั้น”
แดนเดินเข้ามาใกล้และยืนนิ่งอยู่ข้างประตู บังคับให้เธอหันกลับไป
“คุณไคเซอร์จะโทรมารับทราบความเคลื่อนไหวของคุณนลินเป็นระยะ ๆ ครับ เขาไม่อยากให้คุณนลินรู้สึกไม่สบายใจ”
‘ไม่สบายใจงั้นเหรอ? นายหมายถึงไม่ให้ฉันรู้สึกอิสระต่างหาก!’
นลินหันหลังเดินกลับ เธอไม่พูดอะไร แต่ความเกลียดชังในใจพอกพูนขึ้น ไคเซอร์ไม่ได้ใช้โซ่ตรวน แต่ใช้ ระบบ และ การเฝ้าระวัง ที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสินค้าที่ถูกป้องกันขโมยไว้ตลอดเวลา
ความตึงเครียดจะสูงที่สุดในช่วงเย็น เมื่อไคเซอร์กลับมา
หลังจากอาหารค่ำที่เต็มไปด้วยความเงียบงันและพิธีรีตอง ไคเซอร์จะนำเธอเข้าสู่ห้องส่วนตัวของเขาเสมอ ซึ่งเป็นจุดเดียวที่เขาจะลดกำแพงลงและแสดงความเป็นเจ้าของอย่างรุนแรง
คืนนั้น...
นลินกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองความมืดมิดด้านนอก ไคเซอร์เดินเข้ามายืนซ้อนหลังเธออย่างเงียบ ๆ เขาโอบแขนรอบเอวของเธอไว้แน่น
“หนาวไหม? หรือเธอกำลังมองหาทางหนีอีกแล้ว?”
นลินสลัดความคิดของเธอออกจากความมืดด้านนอก และตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
“คุณคิดว่าฉันจะหนีไปได้ง่าย ๆ เหรอ ในเมื่อทุกอย่างถูกล็อกแน่นหนาขนาดนี้”
“ดี... ที่เธอเข้าใจ” เขาฝังจมูกลงบนเส้นผมของเธอ สูดดมกลิ่นหอมของเธออย่างลุ่มหลง “ฉันไม่ชอบความท้าทาย... ฉันชอบการเชื่อฟัง”
เขาพลิกตัวเธอให้หันมาเผชิญหน้า
“คุณควบคุมชีวิตฉันได้ แต่คุณไม่มีวันควบคุมความคิดของฉันได้ คุณไคเซอร์”
ไคเซอร์ยิ้มเหยียด มือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนไปแตะที่แก้มของเธออย่างอ่อนโยน แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยอำนาจบางอย่างที่นลินต้องหลบตา
“ความคิดของเธอน่ะ... มันก็เป็นของฉันเหมือนกัน เพียงแต่เธอไม่รู้ตัว”
“หมายความว่าไง!”
ไคเซอร์โน้มตัวลงกระซิบชิดริมฝีปากของนลิน ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาปะทะกับผิวกายของเธอ
“หมายความว่า... เมื่อไหร่ที่ฉันแตะต้องเธอ...”
“หยุด!”
ไคเซอร์ไม่ฟัง เขาใช้นิ้วชี้ของเขาเชยคางเธอไว้แน่นและบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นรับจูบของเขา จูบที่รุนแรงและเร่าร้อน ที่ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เกิดจาก ความปรารถนาในการครอบครองหญิงสาวในอ้อมกอด
นลินพยายามขัดขืนอยู่ชั่วขณะ แต่ความเชี่ยวชาญของเขาทำให้เธออ่อนระทวยอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ควรจะเกลียดชังกลับตอบสนองต่อการสัมผัสที่ร้อนแรงของเขาอย่างน่าอับอาย เธอรู้สึกได้ถึงความขัดแย้งในตัวเองอย่างรุนแรง
ให้ตายเถอะ.. เธอควรจะสลัดเขาออกไปให้ห่างตัว
ไคเซอร์ผละจูบออกช้า ๆ ดวงตาของเขาสะท้อนภาพดวงตาที่พร่ามัวของนลิน
“เห็นไหม... นลิน... ตอนที่เธออยู่กับฉัน... ไม่มีความเกลียดชังเหลืออยู่หรอก... มีแต่ความปรารถนา... ที่ฉันสร้างขึ้น”
หลังจากคืนที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและความรู้สึกซับซ้อน นลินลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อดื่มน้ำ
เธอเห็นเสื้อเชิ้ตสีดำของไคเซอร์พาดอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง เธอเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบ ๆ และ แอบล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในของเขา
มือของเธอสัมผัสได้ถึงวัตถุแข็ง ๆ เล็ก ๆ เธอหยิบมันออกมาดู มันคือ รูปถ่าย เก่า ๆ ที่ถูกพับเก็บไว้
รูปถ่ายนั้นเป็นภาพของ พ่อเธอ และ ภากร ยืนอยู่คู่กันกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่นลินจำหน้าไม่ได้... แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจที่สุดคือ ผู้ชายคนที่สามนั้น... มีรอยสักสัญลักษณ์เดียวกับที่เธอเห็นบนข้อมือของไคเซอร์! แต่รอยสักนั้นดูใหม่กว่า!
นลินเพ่งมองที่ใต้ภาพ มีตัวอักษรเขียนไว้ด้วยลายมือหวัด ๆ: "The Alliance"
หมายความว่า ไคเซอร์ไม่ได้เพิ่งรู้จักพ่อเธอ... แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายธุรกิจมืดนี้มานานแล้ว! และรอยสักนั้นอาจเป็นสัญลักษณ์ของพันธมิตร!
ขณะที่เธอกำลังจ้องมองรูปถ่ายนั้นด้วยความตกตะลึง...เ
สียงทุ้มต่ำ... แต่ดังอยู่ด้านหลังของเธอ “กำลังหาอะไรอยู่... ที่รัก?”
นลินตัวแข็งทื่อทันที! รูปถ่ายหลุดจากมือเธอตกลงพื้น เธอถูกจับได้คาหนังคาเขา!
