1
วีวี่ไม่พูดอะไร เขาโอบกอดนลินไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาปล่อยกระเป๋าสีชมพูบานเย็นลงบนพื้น และใช้ร่างกายที่ค่อนข้างท้วมของเขาเป็นกำแพงป้องกันเพื่อนจากสายตาอยากรู้อยากเห็นของพนักงานในร้าน
“ไม่เป็นไรนะนลิน... ชั้นอยู่ตรงนี้... หายใจเข้าลึก ๆ”
“วีวี่... ไม่จริงใช่ไหม... พ่อของชั้นเป็นฮีโร่... ท่านไม่เคยยอมแพ้ใคร... ท่านไม่มีวันยิงตัวตายเพราะธุรกิจหรอก!” นลินร้องไห้จนตัวโยน ปล่อยความเจ็บปวดและความไม่เชื่อออกมาทั้งหมด
“ชั้นรู้ นลิน... ชั้นรู้ว่าพ่อแกเข้มแข็งแค่ไหน... แต่ตอนนี้... เราต้องกลับไปดูความจริงก่อนนะ” วีวี่ลูบหลังเพื่อนอย่างอ่อนโยนที่สุด
“วีวี่... ฉันไม่มีเงินแล้ว... ฉัน...”
“หุบปากเลยนะนลิน! พูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ไง! แกคือเพื่อนรักของชั้น! ตั๋วเครื่องบิน... ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง... ชั้นจะจัดการเองทั้งหมด ไม่มีใครทิ้งแกไว้ตรงนี้คนเดียวเด็ดขาด! เข้าใจไหม!?” น้ำเสียงของวีวี่เต็มไปด้วยความเด็ดขาดที่แตกต่างจากบุคลิกตลกโปกฮาของเขาอย่างสิ้นเชิง
นลินเงยหน้ามองวีวี่ด้วยความตื้นตันใจ น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเป็นพยานถึงความรักและมิตรภาพที่แท้จริง
“ขอบใจนะวีวี่... ขอบใจจริง ๆ”
“ไปเก็บของ! เราจะบินคืนนี้แหละ! และชั้นจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายแกอีก! เราจะสู้ไปด้วยกัน!”
ความแน่วแน่ของวีวี่ทำให้นลินสงบลงได้บ้าง แต่ภายในใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งกว่าเดิม เธอไม่เชื่อว่าพ่อเธอฆ่าตัวตาย... นี่มันคือแผนการที่โหดเหี้ยม
สามวันต่อมา นลินกลับมาถึงไทยและพบว่าทุกอย่างเลวร้ายกว่าที่คิด พวกเขาสูญเสียทุกอย่างจริง ๆ
นลินนั่งอยู่ในห้องนอนเล็ก ๆ ของบ้านเช่าแห่งใหม่กับวีวี่
“แกต้องเข้มแข็งนะนลิน... เราจะเริ่มจากศูนย์” วีวี่ปลอบโยน
นลินพยักหน้า ก่อนจะรื้อค้นกระเป๋าสะพายใบเล็กที่เธอพกติดตัวมาจากลอนดอนเพื่อหาโทรศัพท์มือถือที่แตกไปแล้ว แต่สิ่งที่เธอพบไม่ใช่โทรศัพท์...
มันคือสร้อยคอเส้นเล็กที่มี จี้รูปกุญแจ ซึ่งเป็นของขวัญวันเกิดสุดท้ายจากพ่อของเธอ
เธอหยิบมันขึ้นมา น้ำตาคลอเบ้า แต่จู่ ๆ นิ้วของเธอก็สัมผัสได้ถึงรอยแยกเล็ก ๆ บนตัวกุญแจ
นลินใช้เล็บแงะที่รอยแยกนั้นอย่างระมัดระวัง... กุญแจนั้นไม่ใช่กุญแจจริง แต่เป็นกล่องใส่ของขนาดจิ๋ว
ข้างในกล่องมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ม้วนอยู่ นลินคลี่มันออกด้วยมือที่สั่นเทา
ข้อความถูกเขียนด้วยลายมือของพ่อเธอ:
นลิน... ลูกรัก
ถ้าลูกได้อ่านข้อความนี้...
พ่อรู้ดีว่าชีวิตลูกคงเปลี่ยนไปมาก...
พ่อขอโทษจริง ๆ
พ่อ...
ข้อความในกระดาษถูกตัดขาดไปอย่างกะทันหัน แต่ข้างใต้มีเพียง ตัวอักษรเดียว ที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงเข้ม...
“K”
หมายความว่าอะไรกัน มันคือตัวย่อแน่ ๆ แต่มาจากคำว่าอะไร และทำไมพ่อถึงต้องเขียนมันไว้ด้วย นลินยิ่งคิดยิ่งสับสน
บ้านเช่าหลังเล็กในซอยลึกของกรุงเทพฯ เป็นสถานที่ที่แตกต่างจากคฤหาสน์หรูในความทรงจำของ นลิน อย่างสิ้นเชิง ผนังทาสีขาวที่เริ่มเหลือง พื้นไม้ลามิเนตที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่เหยียบย่ำ และกลิ่นอับชื้นจาง ๆ ที่ฝังตัวอยู่ตามซอกหลืบ แต่สำหรับนลินในตอนนี้ นี่คือ ป้อมปราการสุดท้าย ของเธอ
เป็นเวลาหกวันที่ วีวี่ เพื่อนรักของเธออยู่เป็นเพื่อน เขาสร้างบรรยากาศให้ดูสดใสขึ้นด้วยการเล่านิทานตลก ๆ เกี่ยวกับความวุ่นวายในโรงงานน้ำปลาร้าของครอบครัว และการทำอาหารง่าย ๆ ที่เน้นความอร่อยมากกว่าความสวยงาม
“นลิน แกต้องกินเยอะ ๆ นะ! ดูสิ ผอมจนชั้นจะร้องไห้แล้วนะ! สารอาหารอย่างเดียวที่แกควรรับตอนนี้คือ สารอาหารทางใจ และ สารอาหารทางกาย ที่ชั้นทำให้นี่แหละ!” วีวี่ตักแกงส้มกุ้งใส่ชามของเธอจนพูน
“วีวี่... ฉันขอบใจแกมากจริง ๆ นะ” นลินมองเพื่อนรักด้วยแววตาซึ้งใจ
วีวี่ใช้ช้อนเคาะหัวเธอเบา ๆ “อย่าดราม่า! แกไม่ใช่นางเอกหนังอินเดียนะ! ชั้นยอมอยู่ต่ออีกตั้งสี่วันเต็ม ๆ นี่ก็เพราะแกนั่นแหละ! ปกตินัดบาร์โฮสของชั้นแน่นกว่านี้เป็นสิบเท่า!”
นลินยิ้มออกมาได้ในที่สุด... นี่คือสิ่งที่เธอรักในตัววีวี่ เขาเข้าใจเธอโดยไม่ต้องพูดอะไร และใช้ความตลกโปกฮาของตัวเองเยียวยาบาดแผลให้เพื่อน
แต่ความสุขเล็ก ๆ นี้ก็ต้องจบลงในเช้าวันศุกร์
“แก... ชั้นต้องไปแล้วจริง ๆ นะ” วีวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาจัดกระเป๋าเดินทางที่ใหญ่กว่าขนาดตัวเล็กน้อย
