๕ คืนเข้าหอ (๑)
๕
คืนเข้าหอ
บานเย็นมีสีหน้าสดชื่นเมื่อมาทำงาน สร้างความสงสัยแก่คนอื่นทว่าแม้จะเพียรถามถึงสาเหตุก็ไม่ได้รับคำตอบ
ต่างจากพณณกรซึ่งมีสีหน้าซึมกะทือแทบไม่เป็นอันทำงาน จนลูกน้องต้องมองกันด้วยความสงสัย
..ขนาดเรื่องที่เขาเล่ากันปากต่อปากยังไม่สะเทือนนาย แล้วมันมีเรื่องอะไรถึงทำให้คนไม่สนโลกต้องมาทำหน้าเบื่อหน่ายด้วย
พลบค่ำร่างสูงก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปยังบ้านเจ้าของไร่ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสวนส้มเท่าไหร่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้เบื้องหลังมีขุนเขาเป็นฉากประกอบ ตัวบ้านเป็นไม้สองชั้นเคลือบแว็กซ์เงางามราวบ้านในฝันที่มีอยู่จริง เดินเข้ามาภายในก็พบโถงกว้างซึ่งมีโต๊ะสำหรับวางแจกันตั้งไว้อย่างสวยงามทั้งยังปักดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมทั่วบ้าน
ทางด้านขวาเป็นห้องรับแขกและผู้มาเยือนก็เลือกจะเข้าไปรอที่ห้องนั้น พอดีกับมีคนเดินเข้ามาทักทาย
“อ้าวคุณเอิร์ธ มารับประทานอาหารเย็นกับคุณธีหรือคะ” ป้าจิตแม่บ้านร่างท้วมท่าทางใจดีมีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นนิจ ทำงานเป็นแม่บ้านให้กับตระกูลของเพื่อนสนิทมานับยี่สิบปีก่อนจะย้ายมาอาศัยที่นี่เพื่อคอยรับใช้ชลธีอย่างใกล้ชิดรู้ดีถึงสถานะอันแท้จริงของพณณกรแต่ไม่ได้ปริปากบอกใคร
“ครับ มีเรื่องรบกวนมันนิดหน่อย” ไม่ได้เจอหน้ากันแต่เช้าเพราะอีกฝ่ายเข้าเมืองเพื่อพบนายอำเภอได้ข่าวว่าจะมีงานประจำอำเภอต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของไร่ชื่อดัง
..เอาเถอะเรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้เรื่องของเขาสำคัญที่สุด
ร่างสูงที่มีผิวขาวผิดจากเพื่อน ก้าวลงมาจากชั้นบนบ้านหลังชำระร่างกายเรียบร้อย แววตากลมมองมาที่แขกซึ่งมาเยือนก่อนจะยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นใบหน้าอมทุกข์
“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ ป้าจะไปจัดโต๊ะให้” เลี่ยงออกไปปล่อยสองหนุ่มให้อยู่ในห้องรับแขกเพียงลำพัง
เสียงถอนหายใจดังกลบเสียงจากเครื่องปรับอากาศพร้อมใบหน้าหมองคล้ำคิดหนักราวแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
“ตอนเช้ากูไปหาน้าบานเย็น”
ชลธีพยักหน้าตามคำบอกเล่า
“แล้วกูก็ตอบตกลงแต่งงานกับลูกสาวเขาไปแล้ว”
แค่เห็นใบหน้าของเพื่อนก็พอจะเดาคำตอบได้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
อันที่จริงเขาก็อยากให้พณณกรลงหลักปักฐานกับใครสักคนมากกว่าจะทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา ไม่เคยจริงจังกับใครสักคน ผู้หญิงไม่ได้เหมือนกันหมดทุกคน เราไม่ควรเอาอดีตมาตัดสินปัจจุบัน
จากที่ได้รู้จักบุลลา ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรกลับน่าเอ็นดูด้วยซ้ำ ถึงแม้เขาจะดูออกว่าพยายามจะอ่อยตนเอง ทว่าไม่ได้ทำจนเกินงาม ยังมีความยั้งใจอย่างเช่นครั้งที่ซื้อชุดให้ หล่อนก็ไม่ได้เอ่ยขอเพียงแค่มองแล้วพยายามตัดใจจนคนที่เห็นรู้สึกสงสาร จึงตัดสินใจซื้อเป็นของขวัญต้อนรับ
“เฮ้อ กูทำถูกไหมไอ้ธี” เอนหลังพิงผนักโซฟา อยากเอามือก่ายหน้าผากเหลือเกิน ความโสดที่หวงไว้แสนนานจะต้องพังทลายลงเพราะความสะเพร่าของตนและแผนการบ้าๆ ของผู้หญิงหิวเงิน
“นายเลือกความถูกต้อง ดีแล้ว ตั้งแต่รู้จักกันมาก็เพิ่งเห็นนายเครียดขนาดนี้นะ ไม่นับตอนที่ถูกทิ้ง” หนุ่มผิวขาวยกยิ้มเล็กน้อยและนั่นกวนอารมณ์ที่เคยซังกะตายให้ขุ่นขึ้นมา
ใบหน้าของเพื่อนรักที่เป็นญาติแวบขึ้นมาจนต้องกัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้
แฟนทรยศไม่ได้ทำให้เสียศูนย์มากไปกว่าชายชู้คือเพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก วันนั้นเขาไปกินเหล้าเมาไม่ได้สติ ตื่นมาก็อ้วกจนหมดไส้หมดพุง ไม่ไปสอบจนถูกหักคะแนนเกือบติดเอฟวิชานั้น
เขาตัดขาดจากมัน ไม่พูดถึง ไม่ไปงานสังสรรค์ต่างๆ ของครอบครัว และวันรับปริญญาก็เกือบจะไม่เข้ารับ ทว่ามารดาขอเอาไว้จึงต้องทำตามไม่สามารถเลี่ยงได้ จำต้องยืนให้ครอบครัวถ่ายรูปร่วมเฟรมกับกองทัพทั้งที่ไม่อยากเห็นหน้าด้วยซ้ำ
และวันนั้นเขาก็จากเมืองกรุงมุ่งสู่ไร่แห่งนี้ บุกเบิกมันพร้อมกับชลธีโดยไม่บอกคนที่บ้านสักคำ ทุกคนรู้เพียงแค่เขาทำงานสัตวแพทย์อยู่ต่างจังหวัดซึ่งก็ไม่อาจทราบว่าที่ใด ถึงพี่ชายจะเพียรโทรมาด่าบ่อยแค่ไหนก็ตาม
“แล้วจะบอกที่บ้านไหม”
“ไม่” ตอบทันทีไม่ไตร่ตรองสักนิด เขาจะไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเพราะไม่กี่เดือนก็คงจะหย่า การแต่งงานเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาของชาวบ้าน หากเรื่องซาเขาก็คิดไว้ว่าจะตัดขาดจากผู้หญิงคนนั้นทันที
และเธอจะไม่มีทางรู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเขาเป็นใครเด็ดขาด
“เอิร์ธ เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่คนสองคนแล้วนะ นายตกลงแต่งงานกับเขาไปแล้วก็ควรทำทุกอย่างให้ถูกต้อง อย่างแรกคือบอกครอบครัวของนาย” ชลธีไม่เห็นด้วยกับความคิดที่จะปิดบังของพณณกร เรื่องอื่นพอยอมได้แต่เรื่องนี้เขาคิดว่าเพื่อนควรบอกความจริง
“กูไม่สน กูจะไม่บอกพ่อแม่และกูจะให้มึงไปเป็นญาติฝ่ายกู มึงคนเดียวห้ามไปบอกคนอื่นไม่อย่างนั้นกูเผาไร่แน่ ขาดทุนช่างหัวมัน” ร่างสูงลุกขึ้นอย่างหัวเสีย เดินออกไปไม่แม้แต่จะอยู่รับประทานอาหารเย็นอย่างที่บอกไว้
ชลธีเองก็โมโหไม่แพ้กันเขาพยายามสงบสติอารมณ์พอดีกับที่ป้าจิตเดินเข้ามา
“คุณเอิร์ธไปแล้วเหรอคะ”
“ครับ ป้าจัดโต๊ะแค่ของผมก็พอ” เห็นท่าไม่ดีจึงทำเพียงรับคำแล้วเคลื่อนตัวออกจากห้องด้วยความเงียบเชียบ
ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมคณะกันตั้งแต่ปีหนึ่งจนสนิทกันขนาดทำธุรกิจร่วม ทว่าก็ไม่เคยเข้าถึงความคิดบางอย่างของพณณกรได้สักที อีกฝ่ายมีกำแพงสูง ไม่อาจพังทลายลงได้ จนคร้านจะหาวิธีพิชิตใจ จำต้องปล่อยให้มีโลกส่วนตัว ไม่มีใครเข้าไปในพื้นที่นั้นได้
เขาจึงหวังให้บุลลาทำลายกำแพงนั้นและสร้างโลกใหม่ให้เพื่อนของตน
วันต่อมาชลธีมายังบ้านของบานเย็นพร้อมพณณกรซึ่งพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มแต่ส่งไม่ถึงดวงตา โถงกลางบ้านมีสองแม่ลูกนั่งอยู่ข้างกัน ฝั่งตรงข้ามเป็นเจ้าของไร่และว่าที่เจ้าบ่าว ร่างบางเหลือบมองหนุ่มผิวขาว รู้สึกเสียดาย
..ที่จริงหากแผนเป็นตามที่วางเอาไว้หล่อนต้องได้แต่งงานกับเขาไม่ใช่ไอ้คนผิวเข้มชอบทำหน้ากวนประสาทอย่างตอนนี้
“ค่าสินสอดผมมีให้หนึ่งแสน ส่วนค่าจัดงานห้าหมื่นครับ” ตามชนบทหนึ่งแสนก็เป็นราคาที่เยอะพอสมควร
ทว่าในความคิดของบุลลามันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน
..ความสวยระดับเธอควรได้อย่างน้อยหนึ่งล้านไม่ใช่หรือ
“ไม่เอานะแม่” เขยิบเข้าไปกระซิบมารดาเสียงเบาอย่างไม่ชอบใจอันที่จริงอยากจะโพล่งไปเลยว่าไม่ยอม แต่ก็กลัวมารดาบิดเนื้อจนหลุดจำต้องพูดเสียงเบาแทน
“ผมมีแค่นี้ครับ บ้านผมก็ไม่ร่ำรวยอะไร เงินขนาดนี้ก็ถือว่ามากแล้ว”
ชลธีรีบจับมือเพื่อนเพื่อให้หยุดพูดทันทีเห็นสีหน้าของบุลลาก็กลัวว่าจะเกิดสงครามอารมณ์ เขายิ้มการค้าให้บานเย็น พยายามผ่อนบรรยากาศให้คลายความเครียด
“คุณน้าต้องการเรียกเท่าไหร่บอกได้นะครับ”
บานเย็นมองบุตรสาวที่มีท่าทีกระฟัดกระเฟียดก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชาย
“เอาอย่างที่คุณเอิร์ธว่าเถอะค่ะ น้าก็ไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไรมากแค่อยากให้ทุกอย่างมันถูกต้อง”
อยากจะหัวเราะเสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดที่ชลธีหันมามองตาดุ ทำเอาคุณหมอปากมอมต้องนั่งเก็บสีหน้ามองไปที่ว่าที่เจ้าสาวอย่างสมเพช
..คิดจะจับผู้ชายรวย เสียใจด้วยที่ได้คนจนแบบฉันไปแทน ค่าเสียรู้แสนหนึ่งมันก็มากเกินพอแล้ว
“แม่!” หล่อนเรียกมารดาเสียงดัง
จนท่านต้องบอกให้เงียบทางสายตา
“ถ้าอย่างนั้นค่าสินสอดหนึ่งแสน ส่วนค่าจัดงานห้าหมื่น ผมอยากจะเพิ่มทองหนักสองบาทแล้วก็แหวนหมั้นอีกหนึ่งวงนะครับ”
คราวนี้เป็นพณณกรที่หันไปมองเพื่อนดวงตาเบิกกว้างขึ้นเพราะทองหนักสองบาทและแหวนไม่ได้อยู่ในข้อตกลงที่พูดคุยกันก่อนมา
“ไอ้ธี” ใบหน้าคมเครียดขึงอันที่จริงไม่อยากเสียสักบาทเดียวด้วยซ้ำ ทว่าเพื่อนไม่เห็นด้วย
แค่หนึ่งแสนเทียบกับฐานะแท้จริงของร่างสูงก็น้อยเกินไปแล้ว
“เงียบเถอะน่า”
รู้สึกว่าคิดผิดที่ให้เพื่อนมาเจรจาค่าสินสอด มือหนากำหมัดแน่น ปล่อยให้ทั้งสองตกลงกันส่วนตนก็จ้องหน้าบุลลาหาเรื่องเต็มที่
ฝ่ายหญิงก็ไม่น้อยหาส่งสายตาที่มีเปลวเพลิงอยู่ในนั้นไปให้ร่างสูง
ใครจะคิดว่าจากที่จะจับชลธี กลับตกกะไดพลอยโจนได้แต่งงานกับพณณกรแทน เป็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหวลึก แทนที่จะได้ขึ้นสวรรค์เป็นนางฟ้าสวยงามกลับต้องตกนรกไปอยู่กับซาตานแสนโสมม พยายามยอมรับก็ไม่อาจทำใจได้
หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปทำงานปล่อยบุลลาไว้บ้านคนเดียว
หนึ่งเดือนต่อมาทุกคนก็ได้รับรู้ข่าวดีที่เกิดขึ้นของสัตวแพทย์หนุ่มและสาวสวยแห่งไร่ ทำเอาขาเม้าธ์ต้องตั้งโต๊ะเพื่อพูดคุยอย่างสนุกปาก หลายคนฟันธงว่าท้องแน่นอน ทว่ามีบางส่วนแย้งขึ้นเนื่องจากไม่เห็นความผิดปกติของว่าที่เจ้าสาว
พณณกรไม่เคยแวะเวียนไปหาคนที่จะร่วมชีวิตด้วยอีกเลย เอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ตกเย็นก็มาดื่มเหล้าร่วมกับคนงาน ไม่สนใจว่างานแต่งจะถูกจัดเตรียมไปถึงไหนเพราะคิดว่าให้เงินไปก็จบ เจอกันอีกทีก็วันงานเลยแล้วกัน เขาไม่มีอารมณ์จะไปดูชุดหรือเลือกข้าวของด้วยหรอก
วันงานมาถึงพร้อมขบวนขันหมากของเจ้าบ่าว ฤกษ์เคลื่อนตัวคือ 09.09 น.ส่วนวันงานก็เอาตามความสะดวกของสองหนุ่มสาวงานจัดขึ้นที่บ้านของฝ่ายหญิงโดยใช้ถนนด้านหน้ากางเต็นท์ วางโต๊ะกลมสำหรับแขกที่มาร่วมงานได้รับประทานอาหารเช้า มีคนภายในหมู่บ้านมาร่วมเป็นสักขีพยานกันล้นหลาม สาวหลายคนใจสลายเมื่อหนุ่มหล่อสละโสด
ใบหน้าคมมีอาการง่วงนอนเนื่องจากเมื่อคืนดื่มยาดองจนโต้รุ่ง รู้สึกพะอืดพะอมพร้อมอ้วกตลอดเวลา จนชลธีต้องคอยประคองไม่ให้ล้มลงพื้นเสียก่อน งานสำคัญถูกจัดอย่างเรียบง่ายตามธรรมเนียมของหมู่บ้าน
“โห่ ฮี้ โห่ ฮี้ โห่ ฮี้โห่ววว”
เมื่อถึงเวลาขบวนขันหมากก็เริ่มเคลื่อนตัวพร้อมเสียงโห่ที่ทุกคนพร้อมใจกับตอบรับ
“ฮิ้วววววว”
กลองยาวเริ่มตีรับกับเครื่องดนตรีอื่น เหล่าคนงานที่มาร่วมขบวนเริ่มเต้นไปตามทางโดยเฉพาะโอ้กับอาร์ตโชว์สเต็ปเทพ จนชลธีต้องส่ายหัวขณะที่ริมฝีปากแย้มยิ้มแต่ดูเหมือนมีคนไม่ชอบใจคือเจ้าบ่าวอดไม่ไหวยกเท้าขึ้นถีบก้นสองหนุ่มไปคนละที
“เกะกะตา” โวยวายตาแข็ง
แต่มีหรือที่คู่หูจะหยุด กลับเดินไปร่วมกลุ่มกับนักดนตรี เต้นอย่างมีความสุขขัดตาร่างสูงเหลือเกิน
“มึงก็ประคองกูจัง ปล่อยได้แล้วกูไม่เป็นอะไร” หันมาพูดเสียงแข็งเบี่ยงตัวออกห่างเพื่อนสนิทกระทั่งถึงหน้าบ้านหลังเล็กที่แปรสภาพเป็นสถานที่จัดงานแต่ง
มีหญิงสาวแต่งตัวสวยยืนถือสร้อยทองเส้นยาวกั้นประตูเงินประตูทองจนเจ้าบ่าวต้องหยุดชะงัก เขาหยิบซองจากเพื่อนสนิทแล้วยื่นให้แบบส่งๆ เส้นที่ขวางไว้จึงเปิดออกอย่างรวดเร็ว เสียงโห่แซวดังขึ้นเป็นระยะเพราะเห็นร่างสูงจ่ายไปหลายใบ คงอยากเจอเจ้าสาวมากโดยไม่รู้สักนิดว่าเขารู้สึกพะอืดพะอมต้องการให้พิธีเสร็จเร็วๆ
หลังจากผ่านด่านแรกก็มาเจอการล้างเท้าก่อนเข้าบ้านฝ่ายหญิงก่อนยื่นซองให้ จากนั้นก็เข้ามานั่งภายในบ้านโดยด้านหลังมีฉากถ่ายรูปจัดอย่างสวยงามเป็นชื่อของเขาและฝั่งเจ้าสาวคั่นกลางด้วยรูปหัวใจ
พณณกรถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนเจ้าสาวจะปรากฏกาย วินาทีนั้นเขาเหมือนลืมหายใจชั่วขณะ
ร่างบางขาวผ่องในชุดไทยสีทอง ผมยาวถูกเกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อย ใบหน้าหวานแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางที่ไม่หนาจนเกินไปแต่กลับเน้นเครื่องหน้าชัดเจน สวยเหมือนนางฟ้าลอยมาจากสวรรค์ทำเอาแขกตกตะลึง แต่คงไม่มีใครแสดงชัดเจนเท่าเจ้าบ่าวที่นั่งตาค้าง จนชลธีต้องสะกิดเรียกสติ หมอหนุ่มจึงทำเป็นกระแอมแล้วมองซ้ายขวากลบเกลื่อนอาการเมื่อสักครู่
เสียฟอร์มชะมัดเลย..
พิธีผ่านไปอย่างไรเขาก็ไม่อาจรู้ได้เพราะมัวแต่มองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย กลิ่นหอมช่างเย้ายวนจนอยากฝังจมูกลงที่แก้มนุ่ม กระทั่งพิธีกรบอกให้สวมแหวนให้เจ้าสาวเขาจึงหยิบแหวนทองที่ชลธีเตรียมให้ขึ้นมาสวมลงไปที่นิ้วเรียว
บุลลามองทุกการกระทำด้วยหัวใจเต้นตูมตาม ไม่คิดว่าจะต้องแต่งงานเร็วขนาดนี้และเมื่อมองแหวนทองซึ่งประดับบนนิ้วของตนก็อบอุ่นใจอย่างแปลกประหลาดเงยหน้ามองใบหน้าคมที่เรียบเฉยทว่าแววตากลับชื่นชมอย่างปิดไม่มิดจนอดขวยเขินไม่ได้
วันนี้ชายหนุ่มค่อนข้างดูดีกว่าทุกวัน ไม่หรอก..เขาหล่อมากต่างหาก ใบหน้าที่มีหนวดเคราถูกโกนออกจนเกลี้ยง เผยให้เห็นความสง่างามราวเจ้าชายทำเอาหัวใจของเธอเต้นระส่ำเมื่อได้สบตาเจ้าบ่าว หล่อนยกมือขึ้นไหว้ตามที่ควรทำก่อนชะงักเพราะเขายกมือขึ้นมาจับเอาไว้ แขกที่มางานส่งเสียงแซวอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นก็เป็นการผูกข้อมือโดยให้ญาติฝ่ายชายเป็นคนผูกเจ้าสาวพร้อมเงินตามแต่จะให้ ญาติฝ่ายหญิงก็ผูกข้อมือเจ้าบ่าว มีของชำร่วยคือผ้าขนหนูผืนเล็กผูกริบบิ้นตามแบบฉบับของชนบท กว่าแขกจะเข้ามาหมดก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงซึ่งพณณกรพยายามอดกลั้นอาการวิงเวียนกระทั่งพิธีนี้จบต่อไปคือการเข้าหอ
ใบหน้าหวานแดงก่ำเมื่อห้องนอนตนถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องหอชั่วคราว ผ้าปูสีชมพู หมอนผ้าห่มก็กลายเป็นสีชมพูที่มีกลีบดอกกุหลาบสีแดงโรยเป็นรูปหัวใจซ้อนกัน ฝ่ายคนเก่าแก่ทางพิธีบอกให้ทั้งสองนอนหันหน้าเข้าหากัน กอดกัน
“อย่าลูบ!” ร่างบางพูดเสียงรอดไรฟันเมื่อร่างสูงลูบเอวคอดไปมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ทำไม มีอารมณ์เหรอ” หากอยู่กันสองคนคงได้หยิกเข้าที่สีข้างเขา แต่ทุกอย่างไม่เอื้ออำนวย ก่อนจะให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงคาบเหรียญเอาไว้จนริมฝีปากแทบชนกัน
เสียงรัวของชัตเตอร์ดังหลายช็อตเพื่อเก็บภาพความประทับใจเอาไว้
บุลลาอายจนหน้าแดงก่ำ หลับตาแน่นไม่กล้าสบดวงตาคู่คม กระทั่งเขาแอบเขยิบปากเข้ามาใกล้จนริมฝีปากบนแตะกัน พอดีกับที่ผู้ใหญ่บอกให้ปล่อยหล่อนจึงรีบเขยิบหนีทันทีพร้อมใบหน้าร้อนซู่ราวเอาไปแนบกับไฟ แค่มองตาเขาก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
..ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรช่างน่ากลัวเหลือเกิน
งานวันนี้มีแค่งานหมั้นช่วงเช้าไม่มีเลี้ยงฉลองตอนเย็นอีกเพราะไม่สะดวก ร่างบางรู้สึกเสียดายที่งานแต่งไม่เหมือนฝัน ทว่าจำต้องยอมรับ ได้แค่ไหนก็แค่นั้นไม่ต้องอยากได้อยากมีมากหรอก เธอมองชลธีแววตาละห้อยขณะยืนอยู่ที่แบ็กดร็อปให้คนมาถ่ายรูปด้วย
“อาลัยอาวรณ์มันมากหรือไง” คนไม่สบอารมณ์ถามขึ้นเสียงแข็ง
จนเจ้าสาวต้องหันมามองทว่าไม่ตอบกลับกลัวจะเกิดการทะเลาะให้ได้อับอายแขกเหรื่อ
“เดี๋ยวป้ายืนข้างคุณเอิร์ธนะคะ” ก่อนจะมีศึกระหว่างเจ้าของงาน บรรดาพนักงานก็เข้ามาร่วมเฟรมเสียก่อน บรรยากาศอึมครึมจึงหายไป แต่ดวงตาคมก็เหลือบมองเจ้าสาวแล้วโอบไหล่เล็กมาชิดก่อนจะบีบจนร่างบางรู้สึกเจ็บจำต้องเก็บอาการเอาไว้
“สวยหล่อเหมาะสมกันเหลือเกิน เอ็งวาสนาดีนะบัว คุณเอิร์ธขยันขันแข็ง การงานก็ไม่น้อยหน้าเป็นถึงหมอสัตว์ อิจฉาจริงเชียว ผัวป้าทำไมไม่หล่อแบบนี้บ้างนะ”
คนถูกเยินยอยิ้มหน้าบานต่างจากบุลลาซึ่งอยากกรอกตามองบนให้คำชมเกินจริง
แค่สัตวแพทย์เงินเดือนหมื่นห้าน่ะหรือจะสู้เจ้าของไร่ได้กำไรเดือนละแสน..
แค่คิดก็อยากร้องไห้กับชะตาชีวิตของตนเอง
..ทำไมถึงอาภัพเช่นนี้
