๔ คนซาเบิ่ดบ้าน (ตกเป็นประเด็นคนทั้งหมู่บ้าน) (๒)
“ผม”
บานเย็นเห็นความไม่ชัดเจนในแววตาคู่นั้นจนรู้สึกโกรธที่เขาไม่คิดจะแก้ไขเรื่องราวใดเลย นางกำมือแน่นระงับใจไม่ลุกขึ้นคว่ำโต๊ะเสียก่อน
..เอาละ ในเมื่อชายหนุ่มคิดไม่ได้เธอจะเป็นคนกำหนดให้เอง
“คุณต้องแต่งงานกับบัว”
คนที่พยายามเค้นสมองหาคำพูดเพื่อตอบบานเย็นเบิกตากว้างเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนมาเยือนจะยื่นคำขาดเสียงแข็งพร้อมแววตาเด็ดเดี่ยวขนาดนี้
ร่างสูงเหมือนถูกสาปจนกลายเป็นหินไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ชั่วขณะ
คำว่าแต่งงานไม่เคยมีในหัวสมองเลยสักนิด เขาเป็นพวกรักสนุกไม่ค่อยอยากมีพันธะผู้หญิงคนล่าสุดที่คบเป็นแฟนก็คือปลายฟ้าซึ่งจบกันไม่สวยเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้ขยับสถานะมาเป็นคนรักอีกเลย อย่างมากสุดก็แค่คู่นอน
ซึ่งชายหนุ่มก็จำหน้าแต่ละคนไม่ได้ด้วยซ้ำ มีเพียงคนเดียวที่คบยืนยาวจนถึงตอนนี้...เพราะไม่สามารถตัดขาดได้และบางทีก็เกือบจะให้เธอเป็นตัวจริงด้วยซ้ำ
“ว่ายังไงคะ ถ้าคุณหาทางแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ จะยอมรับข้อเสนอของน้าไหม” คนงานที่พูดน้อยกลับกลายเป็นเหมือนแม่เสือจ้องขย้ำนายพรานที่อาจหาญทำร้ายลูกน้อย
ชายหนุ่มคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร พยายามเค้นสมองให้หาทางออกในเรื่องนี้
“ผมขอเวลาได้ไหมครับ” จนกระทั่งต้องยืดเวลาตัดสินใจออกไปให้ทบทวน ควรจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
“ได้ค่ะ แล้วพรุ่งนี้น้าจะมาเอาคำตอบ” นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปไม่มีคำล่ำลา
ทำเอาเจ้าของบ้านรีบเดินไปส่ง เห็นเพียงแสงจากรถมอเตอร์ไซค์อยู่ไกลลิบ เขาถอนหายใจด้วยความหนักอก ไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาตามมาหนักขนาดนี้
ความที่เป็นอำเภอท่องเที่ยวขนาดเล็ก หน่วยงานแต่ละฝ่ายหรือคนในชุมชนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีจึงกระจายข่าวโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ปากต่อปากบางคนพูดเกินจริงจนเลยเถิด แม้เขาจะเป็นผู้ชายบางครั้งก็รู้สึกอับอายไม่ต้องคิดถึงผู้หญิงเลยว่าจะเสียหายขนาดไหน
ทว่าหากให้แต่งงานมันก็...มากเกินไป
เขาไม่ได้รักบุลลาพอที่จะเอาชีวิตไปผูกมัดกับเธอได้ อาจจะแค่ถูกใจเพราะหน้าตาตรงตามชอบ ใบหน้าหวานจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวส่องสว่างราวกินโอโม่เข้าไป แต่ก็นั่นแหละมันแค่รูปลักษณ์ภายนอกหากมองถึงนิสัยจริง
..ขอลาขาด ไม่นิยมผู้หญิงหิวเงินจริงๆ
คนที่ซ่อนตัวจากพุ่มไม้เดินมาดักหน้าเพื่อนสนิท จนพณณตกใจเกือบชกหน้าอีกฝ่ายเสียแล้วดีที่ยั้งมือไว้ทัน
“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง เกิดกูมือลั่นชกมึงทำไง” ชลธียืนต่อหน้าเพื่อนด้วยใบหน้าเครียดขึงซึ่งไม่ค่อยได้พบเห็น ปกติเจ้าของไร่มักมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากตลอดเวลาจนชินตาเสียแล้ว
“ฉันได้ยินเรื่องที่นายคุยกับน้าบานเย็นหมดแล้ว”
เจ้าของบ้านพยักหน้า คิดว่าอย่างไรเพื่อนสนิทที่เป็นหุ้นส่วนไร่ก็คงได้ยิน ก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเล่าซ้ำให้มากความ
“กูเครียดว่ะ”
สรรพนามที่ทั้งสองใช้เรียกกันออกจะชวนสับสนไม่น้อย ในขณะที่ชลธีสุภาพไม่พูดคำหยาบเนื่องจากทางบ้านมีเชื้อเจ้าและคำสั่งสอนของบุพการี ต่างจากหนุ่มผิวเข้มที่แม้มารดาจะบ่นจนปากเปียกปากแฉะบุตรชายก็ยังคงพูดจาเป็นกันเอง หยาบคายอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเสมอ
“ก็ควรจะเครียดอยู่หรอก เรื่องใหญ่ขนาดนี้” ไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านเชิญเพราะหนุ่มผิวขาวใบหน้าหวานราวอิสตรีเดินนำไปนั่งที่โต๊ะอยู่ชานเรือน
“ถ้ากูไม่อยู่ตรงนั้น ก็เป็นมึงนั่นแหละที่ต้องกลุ้มใจ” แอบพึมพำคนเดียวหลังมองตามเพื่อน คิดถึงวันนั้นก็นึกเจ็บใจไม่หายเมื่อมีเด็กตัวเล็กเดินมากระซิบข้างหูเขา
'นายๆ ไปที่โรงเก็บหญ้าตอนสามทุ่มหน่อยสิ มีคนอยากคุยด้วย' ตอนแรกก็ไม่อยากไปหรอกเพราะกำลังกรึ่มได้ที่แต่เมื่อมองหาร่างขาวผ่องกลับไร้ร่องรอย จึงขมวดคิ้วอย่างสงสัย
..หรือว่าคนที่อยากคุยด้วยจะเป็นบุลลา
แล้วก็จริงดังคาดแต่คนที่เธอต้องการให้อยู่ที่นั่นไม่ใช่เขาเนี่ยสิ
..หึ คงวางแผนจับไอ้ธีสินะ เสียใจด้วยแล้วกันเพราะมันพังไม่เป็นท่าแถมยังย้อนมาทำร้ายหล่อนจนไม่เหลือชิ้นดี
“แล้วนายจะเอายังไง” ชลธีถามเสียงเครียด เรื่องนี้ไม่เล็กสักนิด เดินไปทางไหนก็ได้ยินคนพูดกันราวเป็นข่าวดินฟ้าอากาศ
“ไม่รู้ คิดไม่ออก” พูดอย่างไม่ยี่หระ ทั้งที่ในหัวกำลังจะระเบิดเต็มที
“นายจะยอมแต่งงานกับคุณบัวไหม”
คำถามนั่นทำให้เขาคิดไม่ตก ภายในใจก็ร่ำร้องไม่อยากแต่งเนื่องจากหวงความโสดทว่าอีกใจก็รู้สึกอยากครอบครองเธอเอาไว้เพียงคนเดียว
แค่ครอบครองเท่านั้นแหละไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นสักนิด
“กูไม่อยากแต่ง”
ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เท่าไหร่ คนที่ไม่คบใครจริงจังตั้งแต่เลิกรากับคนเก่าเมื่อหลายปีที่แล้วน่ะหรือจะอยากผูกมัดตนเองไว้กับผู้หญิงที่เพิ่งพบกัน
อีกอย่างก็ยังมีคนรอพณณกรอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย
“ถ้าหนึ่งเขารู้” ชื่อของใครบางคนถูกเอ่ยขึ้นในบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความเครียด
จนคนถูกถามต้องถอนหายใจ ตอนนี้มืดไปหมดไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ทั้งนั้น
“บอกแล้วไงว่ากูกับเขาก็แค่เพื่อนกัน” สถานะที่ถูกตีกรอบอย่างชัดเจนก่อนจะถูกเปลี่ยนเมื่อฝ่ายหญิงยื่นข้อเสนอให้..คู่นอน
ใช่แล้ว ระหว่างเขากับเธอขยับจากเพื่อนมาเป็นคู่นอนซึ่งเข้าขากันอย่างดี
ยอมรับว่าตนเองไม่ใช่คนดีที่มีแค่คนเดียวเพราะนอกจากหล่อน เขาก็ยังไปมีอะไรกับสาวสวยไปทั่วจนเป็นที่โจษขานทั่วมหาวิทยาลัยว่า ‘เอิร์ธหมอฟัน’ หึ ถูกเปลี่ยนคณะที่เรียนเสียอย่างนั้น คงตั้งแต่เสียศูนย์จากรักครั้งแรก กลายเป็นไม่เชื่อใจผู้หญิงอีกเลย ทุกครั้งที่เริ่มความสัมพันธ์ทางกายเขาบอกเสมอว่าจะไม่มีการสานต่อด้านความรู้สึก มีแค่ร่างกายเท่านั้น ซึ่งส่วนมากก็ยอมจึงไม่มีปัญหา
“เอาเถอะ ค่อยว่ากันเรื่องนั้น แต่ตอนนี้นายจะทำยังไงกับเรื่องของคุณบัว”
คุณหมอคนหล่อประจำไร่ยกมือขึ้นยีหัวตนเองเมื่อได้รับการกดดันจากเพื่อนสนิท
“ไม่รู้โว้ย คิดไม่ออก ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ” คนที่เคยมีเป้าหมายมาตลอดว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไรวางแผนชีวิตตนเองอย่างดี กลับตกม้าตายเรื่องผู้หญิง
ชลธีอยากหัวเราะแต่ลำคอก็ตีบตัน สงสารบุลลาต้องมาเผชิญเรื่องแย่แบบนี้ ไหนจะมาเจอเพื่อนที่ไม่เคยจริงจังกับสาวคนไหนอีก
..ชีวิตต่อจากนี้คงหนักน่าดู
“คิดให้ดีนะไอ้เอิร์ธ ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งต้องมาเสียหายเพราะนาย จะปล่อยไปแบบนี้ไม่สงสารผู้หญิงเหรอ” เตือนด้วยความหวังดี
จนพณณกรเริ่มหมั่นไส้เพื่อนตนเอง
“ถ้าเป็นมึงจะแต่งเหรอ” ถามเสียงกระแทกที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าจะรู้สึกแบบนั้นกับเพื่อนทำไม
หวงก้าง..บ้าเหรอ เขาเนี่ยนะจะหวงบุลลา
“อืม ฉันคงแต่งงานกับเขา”
ฝันไปเถอะว่าจะได้แต่ง!
บางทีก็เกลียดความเป็นคนดีของชลธีที่ทำให้ผู้หญิงติดบ่วงหลายคนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเขามีน้องสาว คงอยากได้อีกฝ่ายเป็นน้องเขยอยู่เหมือนกัน หล่อ รวย แสนดีขนาดนี้ใครจะปล่อยให้หลุดมือ แต่ก็แปลกที่อีกฝ่ายโสดมาจนอายุจะเข้าเลขสามอยู่แล้ว แทบไม่เห็นมันควงใครเลยด้วยซ้ำ
แปลกมากจริงๆ..
“ก็มึงเป็นคนดี แต่กูไม่ใช่” ยกมือขึ้นกอดอกพลางมองต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยขัดกับหัวใจที่เริ่มเอนเอียงตามคำตอบของอีกฝ่าย
แต่งงานกับบุลลา..ผู้หญิงหน้าเงินคิดจะจับผู้ชายตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ
“ฉันไม่ได้เป็นคนดีหรอก แต่บางครั้งคนเราก็ควรรับผิดชอบต่อการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายโดยมีเราเป็นต้นเหตุ”
..แล้วถ้าผู้ถูกกระทำเป็นคนยอมเสียหายเองล่ะ
อยากพูดแต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรออกไปได้
“คนเราแต่งงานกันเพราะความรักไม่ใช่เหรอ แต่กูไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้รักกู” ย้ำชัดถึงความรู้สึกตนเองเพื่อให้เพื่อนได้รับรู้
“นายก็ไม่เคยรักใครอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง บางทีความรักกับความถูกต้องก็ไม่ได้มาคู่กันเสมอไป นายต้องเลือกแล้วเอิร์ธ” จบคำพูดนั้นชลธีก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ปล่อยให้เจ้าของบ้านตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง
..ความถูกต้องอย่างนั้นหรือ
กับผู้หญิงที่หวังจะเกาะผู้ชายกิน..เมินเสียเถอะ เขาไม่มีวันแต่งอย่างแน่นอน!
ร่างสูงกลับมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านหลังเล็กที่มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมดดูร่มรื่นแต่ก็กลัวว่าจะมีงูเงี้ยวเลื้อยออกมา
พณณกรนอนคิดมาทั้งคืนว่าควรทำอย่างไร จนในที่สุดก็ตกลงกับตัวเอง ต้องมาคุยกับฝ่ายหญิงก่อน ถ้าเธอปฏิเสธทุกอย่างก็จบ
ยามเช้าเช่นนี้คนเดินผ่านไปมา หันมองร่างสูงก่อนจะซุบซิบกันเสียงดัง
..เฮ้อ ถ้าจะนินทาระยะเผาขนขนาดนี้ก็ไม่ต้องทำมือป้องปากก็ได้มั้ง ยืนคุยกันต่อหน้าเขาไปเลย!
บานเย็นเปิดประตูบ้านทำเอารีบหลบแทบไม่ทัน ยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับคนเป็นแม่ขอคุยกับคนคนลูกก่อน จึงแอบอยู่แถวนั้นรอจังหวะที่ท่านไปส่งหลานสาวเพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้จึงมีเหลือเพียงบุลลาคนเดียว เหมาะแก่เวลาแล้ว
คุณหมอเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไปภายในบ้าน ถอดรองเท้าขึ้นบันไดสองขั้นก่อนถึงชานเรือนที่เปิดประตูเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่มาเยือนถิ่นของอีกฝ่าย เขาอดสำรวจภายในไม่ได้ บ้านขนาดเล็กให้ความรู้สึกอบอุ่น กลางบ้านเป็นห้องโถงกว้างมีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งไว้สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน ด้านซ้ายเป็นทีวีจอแบนขนาดใหญ่
แอ๊ด
ยังสำรวจได้เพียงครู่เสียงเปิดประตูห้องนอนก็ดังขึ้นก่อนสองสายตาจะสบกัน ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกบางอย่างจะพุ่งตรงเข้ามาไม่ทันตั้งตัว
คิดถึง..
รีบสลัดความคิดนั้นออกทันทีแล้วเอี้ยวหลบเมื่อมีแก้วแสตนเลสลอยมาด้วยความเร็ว
“ออกไปนะไอ้บ้า บ้านฉันไม่ต้อนรับคนอย่างนาย” อารมณ์โกรธทำให้บุลลาคว้าทุกอย่างปาใส่ร่างสูงไม่คิดชีวิต แค่เห็นหน้าก็เหมือนความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้กำลังจะระเบิด โกรธ โมโห เกลียด เสียใจและเธอต้องการระบายมันโดยใช้เขาเป็นที่รองรับ “นายมันเฮงซวย เพราะนายฉันถึงต้องอยู่ในสภาพแบบนี้อีก ไอ้ชั่ว ออกไป ออกไป!” ตะโกนสุดเสียงจนหน้าแดงก่ำ ทรุดลงกับพื้นร้องไห้อย่างไม่นึกอายเพราะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
พณณกรทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยปลอบผู้หญิงมาก่อน เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาเธอ แล้วแตะมือลงที่ไหล่เล็กซึ่งสั่นตามแรงสะอื้นก่อนจะรวบเธอไปกอดเอาไว้ไร้ซึ่งคำปลอบโยน
บุลลาแม้อยากจะออกจากอ้อมกอดนี้แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงเกินจะต้านทาน ยอมรับว่าตนเองอ่อนแอเมื่อเห็นหน้าเขา ทั้งที่ควรเกลียดให้มากกว่านี้ ควรทุบตีหรือด่าทอให้สาสมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าก็ต้องยอมรับเรื่องทั้งหมดหล่อนก็มีส่วนผิดเช่นกัน เพราะแผนที่คิดไม่เป็นอย่างหวัง ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด
“ฉันเกลียดนาย ฮึก เกลียด” พยายามย้ำให้เข้าไปถึงหัวใจของตนเองซึ่งขัดแย้งกับความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้รับความอบอุ่นจากร่างสูง
พณณกรไม่ได้พูดอะไรเขาทำเพียงลูบแผ่นหลังเล็กไปมาจนเธอเริ่มสงบจึงคิดจะผละออกแต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเพราะมีบุคคลที่สามโผล่มาเสียก่อน
“น้าคิดว่าคุณคงให้คำตอบได้แล้วใช่ไหม”
สองหนุ่มสาวหันมามองบานเย็นด้วยแววตาตกตะลึง คนตัวเล็กไม่เข้าใจที่มารดากล่าว ผิดกับร่างสูงที่ลอบกลืนน้ำลาย คิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ยังไม่ได้คุยกับบุลลาเลยสักคำ แม่เสือที่ว่าออกจากถ้ำก็กลับเข้ามาไม่บอกไม่กล่าว
“แยกออกจากการกันได้แล้วมั้ง หรือจะคุยทั้งอย่างนี้” มือหนาที่โอบกอดร่างบางรีบผละออกทันที แค่เห็นดวงตาคมดุของคนเป็นแม่ บรรยากาศก็เย็น ยะเยือกเหมือนมาเยือนห้องปกครองอีกครั้ง เขาเห็นครูไหวยืนถือไม้เรียวพร้อมมองลอดแว่นสายตามายังตนเอง
มือสั่นจนต้องกุมเอาไว้พลางนั่งคุกเข่าอย่างเรียบร้อย จนบุลลาสังเกตถึงความผิดปกตินี้แต่ไม่ได้ทักท้วงรีบเดินไปยืนข้างมารดา จนท่านต้องบอกให้นั่งคุยกันตรงโถงกลางบ้าน
“คุณเอิร์ธจะว่ายังไงคะที่น้าถาม ตกลงจะแต่งงานกับลูกน้าหรือเปล่า”
หล่อนได้ยินก็หันมามองมารดาพลางทำหน้าตกใจ ไม่คิดว่าท่านจะยื่นคำขาดให้พณณกรเหมือนที่พูดกับตนเอง
เมื่อวานตอนเย็นท่านเข้ามาที่ห้องพร้อมบอกให้ตัดสินใจจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ ซึ่งทางเลือกที่มารดายื่นให้คือแต่งงานกับชายหนุ่มผู้สร้างความเสียหายและมันเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าบุลลายืนยันหัวเด็ดตีนขาด อย่างไรก็ไม่แต่งกับผู้ชายที่เกลียดหน้าแน่นอน
“ผมยังไงก็ได้ครับ” ตอบกว้างเพื่อให้ฝ่ายหญิงตัดสินใจเอง
ภาระหนักมาตกที่ร่างบางทันทีเมื่อสายตาของมารดามองอย่างกดดัน
“ไม่แต่ง บัวไม่แต่งกับเขา” ปฏิเสธพร้อมยกมือขึ้นกอดอก หันหน้าหนีจากการจ้องมองของบานเย็นเพราะกลัวว่าหากมองนานกว่านี้ได้ตกหลุมพรางแม่จนอาจตอบตกลง
“ถ้าไม่แต่งจะแก้ไขเรื่องที่เกิดยังไง” คำถามต่อไปถูกส่งอย่างต่อเนื่อง
“เดี๋ยวมันก็ซาเองแหละแม่ ปล่อยไปตามเวลาเถอะ” เป็นคำพูดที่ปลอบตนเองอยู่ทุกวัน เดี๋ยวมีเรื่องอื่นคนเขาก็เลิกพูด อย่าคิดมากเลยแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะแค่ออกไปหน้าบ้าน เจอคนมองหน้าแล้วทำสายตาเหยียดก็อับอายจนไม่กล้าออกไปไหน
“แน่ใจเหรอ ผ่านมาหลายวันเขาก็ยังพูดถึงอยู่เลย ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน”
เรื่องนี้ไม่มีใครตอบได้และสองหนุ่มสาวก็เงียบ
บรรยากาศชวนอึดอัดทำเอาหายใจลำบาก ร่างสูงไม่ค่อยได้เผชิญสภาวะแบบนี้เท่าไหร่จึงทำตัวไม่ถูก เขาอยากออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด การแต่งงานสำหรับเขาก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน แค่จัดพิธีเล็กๆ พอให้เรื่องที่พูดกันปากต่อปากเงียบลงบ้าง จะหย่าก็ไม่เสียหาย
ใช่..ไม่เป็นไรเลยสักนิด
“ผมจะแต่งงานกับบัวครับ”
ในขณะที่สองแม่ลูกเงียบไป ชายหนุ่มก็แทรกขึ้นทำลายความสงบนั้นลงด้วยประโยคเดียว
บุลลาแทบไม่เชื่อหูตนเอง จ้องเข้าไปภายในดวงตาเรียวอย่างค้นคว้ากลับไม่พบความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ราวเขาปกปิดมันได้อย่างดีเยี่ยม
..ทำไมถึงตอบตกลง
คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน ต่างจากบานเย็นที่ยิ้มรับเมื่อได้ฟัง ท่านเชื่อว่าหนุ่มตรงหน้ามีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูด หากได้เอ่ยออกมาแบบนี้คงไม่กลับลำกลางคัน
แววตาเปี่ยมสุขที่คนแก่วัยมองคุณหมอทำเอาเริ่มคิดหนักว่าที่ตัดสินใจไปถูกหรือไม่
“บ้าเหรอ ไม่แต่ง ยังไงก็ไม่แต่งนะแม่” เหลือก็เพียงบุตรสาวของเธอที่ดื้อแพ่งไม่ยอมท่าเดียว
“เสียใจด้วย บัวไม่อยู่ในจุดที่ตัดสินใจอะไรแล้ว เรื่องมาขนาดนี้ยังไงก็ต้องแต่งและเร็วที่สุด” บานเย็นเด็ดขาดอย่างไม่น่าเชื่อ
บุลลานิ่งเงียบไม่บ่อยที่จะเห็นแม่ในภาวะผู้นำแบบนี้และแน่นอนหากตัดสินใจอะไรไปแล้วเธอก็ไม่สามารถขัดได้
“แต่ว่าผมมีเงินติดตัวไม่มาก ญาติพี่น้องก็ไม่ว่าง ถ้าจะให้ชลธีมาเป็นญาติฝ่ายชายได้ไหมครับ”
ชายหนุ่มต้องการให้งานแต่งเป็นไปอย่างเงียบที่สุดและทางบ้านจะต้องไม่มีใครรู้เรื่อง ร่างบางนิ่งอึ้งไม่คิดว่าเขาจะพูดตรงขนาดนี้ คนที่เคยวาดฝันถึงงานแต่งหรูหราจะเอ่ยปากขัดแต่ก็ไม่ทันมารดา
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ขอแค่รักและดูแลลูกแม่ให้ดีก็พอ” สายตาของผู้ใหญ่ท่านเชื่อว่าพณณกรจะดูแลบุตรสาวได้แม้กิตติศัพท์ เรื่องความเจ้าชู้จะเลื่องลือแต่ในแววตาคมก็มีสายใยบางอย่างมอบให้บุลลาที่พอจะมองออกว่าเสน่หาไม่น้อย
..ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของคนสองคนต้องจัดการความรู้สึกตัวเอง หวังว่าสิ่งที่เลือกให้ลูกจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองหรอกนะ
“น้าฝากลูกสาวด้วยนะคุณเอิร์ธ” เอื้อมมือไปกุมมือหนาเอาไว้
จนคนฟังรู้สึกหนักอึ้งในใจ เขาหันไปมองบุลลาที่สบสายตาพอดี
เขาไม่ได้รักเธอ..
แต่จะพยายามดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนี้จะทำได้แล้วกัน
“ครับ”
คำตอบรับสร้างความอุ่นซ่านในหัวใจของร่างบางจนต้องก้มหน้าซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แค่เขามองหัวใจดวงนี้ก็สั่นไหวไปหมดจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ สายตาทรงพลังนั้นไม่อาจมองได้นานเพราะมันพร้อมจะแผดเผาให้แหลกเป็นจุณ
รู้สึกเหมือนกำลังตกที่นั่งลำบาก ต้องห้ามใจไม่ให้หลงไปในวังวนเสน่หาเสียแล้ว
